Tag

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กายส์ไปบริจาคของให้นักเรียนชาวเขา บ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ pai



แจกผ้าห่ม เสื้อกันหนาว เครื่องเขียน แบบเรียน อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ

 
 ไปบริจาคของให้นักเรียนชาวเขา บ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ pai

นักเรียนบ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ Pai

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์

1. คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวม แต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้วทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ
 
2. การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษา คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะ จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
 3. คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำ งานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก
4. คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้า หรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่น หรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิต ในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อย ๆ
 5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศ การสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกล แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม
จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7. สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษและชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย เมื่อจนตรอกในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับหรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลังโดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจเอาตัวรอด หน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผล ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มีแต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9. คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเองทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่าการอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียนและสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สาระน่ารู้........โรคกระเพาะอาหารกับอินทผาลัม

โดยทั่วไปแล้ว....... คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่โดยเฉพาะอาการที่ปวดเรื้อรังมานานเป็นโรค กระเพาะอาหาร แต่แท้ที่จริงแล้วอาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคอื่นๆภายในช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน แผลเพ็บติก โรคของตับ ถุงน้ำดี โรคมะเร็งกะเพาะอาหาร เป็นต้น

                 บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร

                    คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                    บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                สาเหตุของโรคแผลเพ็บติกเกิดขึ้นเนื่องจากปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สมดุลกัน หากกรดหลั่งมากเกินไปหรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็จะทำให้เกิดแผลเพ็บติกขึ้น ได้ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของแผลเพ็บติก ได้แก่ การติดเชื้อเอชไพโลไร ( Helicobactor pylori )
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคโดยตรง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ผู้ที่มีหมู่โลหิตโอ และความเครียดทางอารมณ์

                อาการของโรคที่สำคัญ ได้แก่ ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ พบบ่อยที่สุดเวลาหิวหรือท้องว่าง จึงมีอาการเฉพาะบางช่วงของวัน ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดมักจะเป็นๆหายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดใหม่อีก แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม

                การรักษาโรคแผลเพ็บติกนอกจากจะให้ยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังต้องรักษาที่สาเหตุของโรคด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ทานตรงกันทุกมื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด งดชา กาแฟ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด และลดความวิตกกังวล แต่หากมีอาการแทรกซ้อนก็ควรรีบพบแพทย์

                จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะ อาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย


ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)  กล่าวว่า
“ ผู้ใดที่รับประทานอินทผาลัมที่มาจากอัจวะฮฺ 7 เม็ดในตอนเช้าแล้ว ในวันนั้น
          พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน ”   
     
                                                                                                                                     
(ซอเฮียะฮฺบุคอรี, 664)

             
               ...รู้อย่างนี้แล้ว... ใครที่มีปัญหาปวดท้องหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ก็ ลองหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการทานอินทผาลัมวันละ 7 เม็ด อินชาอัลลอฮฺอาการน่าจะดีขึ้นและเราก็ยังได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านนบีมุฮัม มัด (ซ.ล.) อีกด้วย


บรรณานุกรม

-           พญ.เพ็ญแข แดงสุวรรณ, 2548, โรคกระเพาะอาหาร, สำนักพิมพ์ใกล้หมอ

-          A.A.Al-Qarawi, H.Abdel-Rahman et all, 2005, “The ameliorative effect of dates (Phoenix  dactylifera L.) on ethanol-induced gastric ulcer in rats”.Journal of Ethonopharmacology 98, 313-317.

-           2007, Hadith, [online], Access : http://www.searchtruth.com

http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=7&Itemid=30

อินทผาลัม

“ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม ละศีลอดดัวยอินทผาลัมสด 2-3 เม็ด ก่อนที่ท่านจะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผาลัมสด ท่านก็รับประทานอินทผาลัมแห้ง แต่ถ้าไม่มีอินทผาลัมแห้ง ท่านจะดื่มน้ำ 2-3 อึก แทน”
รายงานฮาดิษข้าง ต้นนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาต่างยึดถือและปฏิบัติกันมาตลอด กว่า 1,400 ปี อินทผาลัมจึงได้ถูกเปรียบเสมือนผลไม้ที่ต้องอยู่คู่กับมุสลิมและทำให้ อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่มีผู้บริโภคมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันอินทผาลัมไม่ได้ถูกบริโภคเฉพาะในเดือนรอมฎอนสำหรับมุสลิมเท่านั้น แต่อินทผาลัมได้กลายเป็นผลไม้ยอดฮิตของประชาคมโลกตลอดทุกฤดูกาล จนทำให้หลายประเทศในตะวันออกกลางได้จัดให้อินทผาลัมเป็นสินค้าส่งออกที่ สร้างรายได้ให้กับประเทศนั้น ได้อย่างมหาศาล
มีการค้นหาเหตุผลกันในหมู่ นักวิชาการทั้งด้านศาสนาและด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่าทำไม อินทผาลัมถึงเป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน และฮาดิษต่างๆ จำนวนมาก แล้วในที่สุดผลการวิเคราะห์วิจัย ต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า อินทผาลัมนั้นมีคุณประโยชน์มากมายในหลายๆ ด้าน ถึงขนาดว่าถ้าจะเรียกว่าอินทผาลัมนั้นเป็นผลไม้ที่มีความมหัศจรรย์ที่สุดก็ ว่าได้
อินทผาลัม เป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลาง อินทผาลัมเป็นพืชประเภทปาล์มชนิด Phoerise  daetylisera Linn อยู่ในกลุ่ม Plame ที่ผลทานได้ จากหลังฐานที่ปรากฏมีมาแล้วหลายพันปี เป็นพืชที่มีใบเขียวตลอดทั้งปี เริ่มให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 5 – 7 ปี และมีอายุยืนยาวถึงกว่า 100 ปี อินทผาลัมมีหลายพันธ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในแต่ละปีจะให้ผลเฉลี่ยประมาณ 7,000 – 8,000 ลูกต่อปี หรือ ประมาณ 100 – 150 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น ผลของอินทผาลัมสุกสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี ณ อุณหภูมิคงที่ 8 องศาเซลเซียส และถ้านำมาแปรรูปโดยการผึ่งแดด 7 – 10 วัน จนผลแห้ง สามารถเก็บไว้ได้นานนับปีๆ ถึงหลายปีเลยทีเดียว  นอกจากนั้นยังสามารถนำไปกวนและนำไปแช่อิ่ม และทำเป็นขนมในรูปแบบต่างๆ ได้อีกมากมายรวมถึงทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติหอมหวานนุ่มนวล ที่เรียกกันว่า “อินทผาลัม เชค”  (Date Shakes) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศแถบยุโรป และ อเมริกา
สำหรับชาวอาหรับ ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของอินทผาลัม เรียกว่า อันนัคลุ้ หรือ อันนะคีล เหตุที่เรียกอินทผาลัมว่า อันนะคีล เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “นัคลฺ” ซึ่งหมายความถึงคัดเลือก กลั่นกรอง เพราะอินทผาลัมถือเป็นพืชยืนต้นที่มีเกียรติที่สุดในบรรดาพืชยืนต้นด้วยกัน และที่สำคัญ อินทผาลัมได้ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ รวมถึง 20 แห่งด้วยกัน
การเรียกขานอินทผาลัมของชาวอาหรับ จะเรียกแตกต่างกันไป คือ เมื่ออยู่ในช่วงก่อนสุก จะเรียกว่า “อัลบะละฮฺ” เมื่อเริ่มมีสี จะเรียกว่า “อัลบุสรุ้” พอเริ่มสุกก็จะเรียกว่า “อัรรุฎ่อบุ้” และเมื่อผลแห้งอย่างที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปก็จะถูกเรียกว่า “ตัมรฺ” ในแต่ละสภาพของผลอินทผาลัมตั้งแต่ก่อนสุก เข้าสี สุก จนถึงแห้ง ต่างก็มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ต่างกัน ดังมีปรากฏในอัลฮาดิษซึ่งรายงานโดย อันนะซาวีย์และอิบนุมาญะฮฺ จากท่านหญิง อาอีซะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านศาสดามูฮำหมัดซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงกินอินทผาลัมสด กับอินทผาลัมสุกที่แห้ง มีนักการแพทย์มุสลิมให้เหตุผลว่า การที่ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ใช้ให้กินอินทผาลัมสดกับอินทผาลัมที่แห้งโดยไม่ใช้ให้กินอินทผาลัมที่เข้าสี กับอินทผาลัมที่แห้ง เป็นเพราะอินทผาลัมสด มีสรรพคุณเป็นของเย็นและแห้ง ส่งอินทผาลัมแห้งมีสรรพคุณ เป็นของร้อนชื้น แต่ละชนิกจะแก้กัน เหมือนกับเวลากินทุเรียนซึ่งเป็นของร้อน ก็ให้กินมังคุดตามเข้าไปช่วยแก้ เพราะมังคุดเป็นของเย็น ส่วนอินทผาลัมแห้ง ถือเป็นของร้อน อินทผาลัมมีสรรพคุณร้อน ค่อนข้างมาก จึงไม่เป็นการดีที่จะรวมเอาของกินที่มีสรรพคุณร้อนกับร้อน หรือเย็นกับเย็นมารวมกัน
ประโยชน์ที่ได้รับจากอินทผาลัมมีอยู่ 2 ด้านคือ
1.       ประโยชน์ด้านโภชนาการ
ใน อินทผาลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซี่ยม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมแมงกานีส น้ำมันโอลาไดท์ ฯลฯ  อินทผาลัมมีเส้นใยมาก ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ย่อยง่ายให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่นเพลียมีกำลังวังชาสู่สภาพเดิม นอกจากนี้ยังบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมให้กับผู้เป็นมารดาด้วย
2.       ประโยชน์ด้านการรักษาโรค
อิน ทผาลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิวโหย แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศรีษะช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นกอจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกค้างในสำไส้ และระบบทางเดินอาหาร เพราะอินทผาลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค อันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้อง
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า เรื่องราวของอินทผาลัมได้ถูกกล่าวไว้อย่างมาก ทั้งในคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดิษ นั่นย่อมหมายถึงความสำคัญของผลอินทผาลัม นั้นย่อมมีมากจริง และคงไม่ได้มากเฉพาะในด้านของประโยชน์ทางโภชนาการและประโยชน์ด้านการรักษา โรคเท่านั้น เพราะทุกวันนี้อินทผาลัมได้สร้างมูลค่าทางการส่งออก ให้กับประเทศมุสลิมหลายประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างงานให้กับพี่น้องมุสลิมที่ทำการค้าขายจำนวนมากเช่นกัน และเมื่อได้รับทราบถึงคุณประโยชน์ที่มากมายมหาศาลของอินทผาลัมแล้ว ทำให้อดรู้สึกเสียดายในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการที่พี่น้องมสุลิม ส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำคุณประโยชน์เหล่าน้นมาใช้กันอย่างคุ้มค่า ตามคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม  และจากการค้นพบด้านการแพทย์จากนักวิชาการ เรายังให้ความสำคัญกับอินทผาลัมน้อยมาก เรามุ่งบริโภคเฉพาะเดือนรอมฎอน และการบริโภคมิได้เป็นไปตามแบบอย่างที่ท่านศาสดา ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัมได้ปฏิบัติไว้ เราไปให้ความสำคัญกับอาหารและผลไม้อื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ที่น้อยและราคาแพงกว่า และที่เป็นตัวอย่างหรืออีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ให้เห็นว่ามุสลิมผู้ศรัทธา ยังมิได้รับฮิกมะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮูว่าตาอาลา จากสิ่งที่พระองค์ได้ประทานมา

http://www.alkawthar.or.th/main/content.php?page=sub&category=6&id=68