ปายฟอเรสต์โฮม ตำบลเวียงเหนือ อำเภอ ปาย จ.แม่ฮ่องสอน Pai ,Viengnour,Maehongson,Thailand. natural camping site, resort-home stay with cottages for the naturalist who love mountains Herbs plant musics arts and cultures
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554
10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์
1. คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวม แต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้วทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ
10. คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่าการอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียนและสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน
2. การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษา คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะ จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำ งานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก
4. คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้า หรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่น หรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิต ในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อย ๆ
5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศ การสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกล แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม
จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7. สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษและชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย เมื่อจนตรอกในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับหรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลังโดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจเอาตัวรอด หน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8. เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผล ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มีแต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
8. เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผล ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มีแต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9. คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเองทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10. คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่าการอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียนและสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
สาระน่ารู้........โรคกระเพาะอาหารกับอินทผาลัม
โดยทั่วไปแล้ว....... คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่โดยเฉพาะอาการที่ปวดเรื้อรังมานานเป็นโรค กระเพาะอาหาร แต่แท้ที่จริงแล้วอาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคอื่นๆภายในช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน แผลเพ็บติก โรคของตับ ถุงน้ำดี โรคมะเร็งกะเพาะอาหาร เป็นต้น
บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย
บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย
สาเหตุของโรคแผลเพ็บติกเกิดขึ้นเนื่องจากปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สมดุลกัน หากกรดหลั่งมากเกินไปหรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็จะทำให้เกิดแผลเพ็บติกขึ้น ได้ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของแผลเพ็บติก ได้แก่ การติดเชื้อเอชไพโลไร ( Helicobactor pylori )
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคโดยตรง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ผู้ที่มีหมู่โลหิตโอ และความเครียดทางอารมณ์
อาการของโรคที่สำคัญ ได้แก่ ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ พบบ่อยที่สุดเวลาหิวหรือท้องว่าง จึงมีอาการเฉพาะบางช่วงของวัน ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดมักจะเป็นๆหายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดใหม่อีก แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม
การรักษาโรคแผลเพ็บติกนอกจากจะให้ยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังต้องรักษาที่สาเหตุของโรคด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ทานตรงกันทุกมื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด งดชา กาแฟ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด และลดความวิตกกังวล แต่หากมีอาการแทรกซ้อนก็ควรรีบพบแพทย์
จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะ อาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า
...รู้อย่างนี้แล้ว... ใครที่มีปัญหาปวดท้องหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ก็ ลองหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการทานอินทผาลัมวันละ 7 เม็ด อินชาอัลลอฮฺอาการน่าจะดีขึ้นและเราก็ยังได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านนบีมุฮัม มัด (ซ.ล.) อีกด้วย
บรรณานุกรม
- พญ.เพ็ญแข แดงสุวรรณ, 2548, โรคกระเพาะอาหาร, สำนักพิมพ์ใกล้หมอ
- A.A.Al-Qarawi, H.Abdel-Rahman et all, 2005, “The ameliorative effect of dates (Phoenix dactylifera L.) on ethanol-induced gastric ulcer in rats”.Journal of Ethonopharmacology 98, 313-317.
- 2007, Hadith, [online], Access : http://www.searchtruth.com
http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=7&Itemid=30
บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย
บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย
สาเหตุของโรคแผลเพ็บติกเกิดขึ้นเนื่องจากปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สมดุลกัน หากกรดหลั่งมากเกินไปหรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็จะทำให้เกิดแผลเพ็บติกขึ้น ได้ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของแผลเพ็บติก ได้แก่ การติดเชื้อเอชไพโลไร ( Helicobactor pylori )
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคโดยตรง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ผู้ที่มีหมู่โลหิตโอ และความเครียดทางอารมณ์
อาการของโรคที่สำคัญ ได้แก่ ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ พบบ่อยที่สุดเวลาหิวหรือท้องว่าง จึงมีอาการเฉพาะบางช่วงของวัน ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดมักจะเป็นๆหายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดใหม่อีก แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม
การรักษาโรคแผลเพ็บติกนอกจากจะให้ยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังต้องรักษาที่สาเหตุของโรคด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ทานตรงกันทุกมื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด งดชา กาแฟ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด และลดความวิตกกังวล แต่หากมีอาการแทรกซ้อนก็ควรรีบพบแพทย์
จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะ อาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า
“ ผู้ใดที่รับประทานอินทผาลัมที่มาจากอัจวะฮฺ 7 เม็ดในตอนเช้าแล้ว ในวันนั้น
พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน ”
พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน ”
(ซอเฮียะฮฺบุคอรี, 664)
...รู้อย่างนี้แล้ว... ใครที่มีปัญหาปวดท้องหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ก็ ลองหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการทานอินทผาลัมวันละ 7 เม็ด อินชาอัลลอฮฺอาการน่าจะดีขึ้นและเราก็ยังได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านนบีมุฮัม มัด (ซ.ล.) อีกด้วย
บรรณานุกรม
- พญ.เพ็ญแข แดงสุวรรณ, 2548, โรคกระเพาะอาหาร, สำนักพิมพ์ใกล้หมอ
- A.A.Al-Qarawi, H.Abdel-Rahman et all, 2005, “The ameliorative effect of dates (Phoenix dactylifera L.) on ethanol-induced gastric ulcer in rats”.Journal of Ethonopharmacology 98, 313-317.
- 2007, Hadith, [online], Access : http://www.searchtruth.com
http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=7&Itemid=30
อินทผาลัม
“ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม ละศีลอดดัวยอินทผาลัมสด 2-3 เม็ด ก่อนที่ท่านจะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผาลัมสด ท่านก็รับประทานอินทผาลัมแห้ง แต่ถ้าไม่มีอินทผาลัมแห้ง ท่านจะดื่มน้ำ 2-3 อึก แทน”
รายงานฮาดิษข้าง ต้นนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาต่างยึดถือและปฏิบัติกันมาตลอด กว่า 1,400 ปี อินทผาลัมจึงได้ถูกเปรียบเสมือนผลไม้ที่ต้องอยู่คู่กับมุสลิมและทำให้ อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่มีผู้บริโภคมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันอินทผาลัมไม่ได้ถูกบริโภคเฉพาะในเดือนรอมฎอนสำหรับมุสลิมเท่านั้น แต่อินทผาลัมได้กลายเป็นผลไม้ยอดฮิตของประชาคมโลกตลอดทุกฤดูกาล จนทำให้หลายประเทศในตะวันออกกลางได้จัดให้อินทผาลัมเป็นสินค้าส่งออกที่ สร้างรายได้ให้กับประเทศนั้น ได้อย่างมหาศาล
มีการค้นหาเหตุผลกันในหมู่ นักวิชาการทั้งด้านศาสนาและด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่าทำไม อินทผาลัมถึงเป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน และฮาดิษต่างๆ จำนวนมาก แล้วในที่สุดผลการวิเคราะห์วิจัย ต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า อินทผาลัมนั้นมีคุณประโยชน์มากมายในหลายๆ ด้าน ถึงขนาดว่าถ้าจะเรียกว่าอินทผาลัมนั้นเป็นผลไม้ที่มีความมหัศจรรย์ที่สุดก็ ว่าได้
อินทผาลัม เป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลาง อินทผาลัมเป็นพืชประเภทปาล์มชนิด Phoerise daetylisera Linn อยู่ในกลุ่ม Plame ที่ผลทานได้ จากหลังฐานที่ปรากฏมีมาแล้วหลายพันปี เป็นพืชที่มีใบเขียวตลอดทั้งปี เริ่มให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 5 – 7 ปี และมีอายุยืนยาวถึงกว่า 100 ปี อินทผาลัมมีหลายพันธ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในแต่ละปีจะให้ผลเฉลี่ยประมาณ 7,000 – 8,000 ลูกต่อปี หรือ ประมาณ 100 – 150 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น ผลของอินทผาลัมสุกสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี ณ อุณหภูมิคงที่ 8 องศาเซลเซียส และถ้านำมาแปรรูปโดยการผึ่งแดด 7 – 10 วัน จนผลแห้ง สามารถเก็บไว้ได้นานนับปีๆ ถึงหลายปีเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังสามารถนำไปกวนและนำไปแช่อิ่ม และทำเป็นขนมในรูปแบบต่างๆ ได้อีกมากมายรวมถึงทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติหอมหวานนุ่มนวล ที่เรียกกันว่า “อินทผาลัม เชค” (Date Shakes) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศแถบยุโรป และ อเมริกา
สำหรับชาวอาหรับ ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของอินทผาลัม เรียกว่า อันนัคลุ้ หรือ อันนะคีล เหตุที่เรียกอินทผาลัมว่า อันนะคีล เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “นัคลฺ” ซึ่งหมายความถึงคัดเลือก กลั่นกรอง เพราะอินทผาลัมถือเป็นพืชยืนต้นที่มีเกียรติที่สุดในบรรดาพืชยืนต้นด้วยกัน และที่สำคัญ อินทผาลัมได้ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ รวมถึง 20 แห่งด้วยกัน
การเรียกขานอินทผาลัมของชาวอาหรับ จะเรียกแตกต่างกันไป คือ เมื่ออยู่ในช่วงก่อนสุก จะเรียกว่า “อัลบะละฮฺ” เมื่อเริ่มมีสี จะเรียกว่า “อัลบุสรุ้” พอเริ่มสุกก็จะเรียกว่า “อัรรุฎ่อบุ้” และเมื่อผลแห้งอย่างที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปก็จะถูกเรียกว่า “ตัมรฺ” ในแต่ละสภาพของผลอินทผาลัมตั้งแต่ก่อนสุก เข้าสี สุก จนถึงแห้ง ต่างก็มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ต่างกัน ดังมีปรากฏในอัลฮาดิษซึ่งรายงานโดย อันนะซาวีย์และอิบนุมาญะฮฺ จากท่านหญิง อาอีซะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านศาสดามูฮำหมัดซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงกินอินทผาลัมสด กับอินทผาลัมสุกที่แห้ง มีนักการแพทย์มุสลิมให้เหตุผลว่า การที่ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ใช้ให้กินอินทผาลัมสดกับอินทผาลัมที่แห้งโดยไม่ใช้ให้กินอินทผาลัมที่เข้าสี กับอินทผาลัมที่แห้ง เป็นเพราะอินทผาลัมสด มีสรรพคุณเป็นของเย็นและแห้ง ส่งอินทผาลัมแห้งมีสรรพคุณ เป็นของร้อนชื้น แต่ละชนิกจะแก้กัน เหมือนกับเวลากินทุเรียนซึ่งเป็นของร้อน ก็ให้กินมังคุดตามเข้าไปช่วยแก้ เพราะมังคุดเป็นของเย็น ส่วนอินทผาลัมแห้ง ถือเป็นของร้อน อินทผาลัมมีสรรพคุณร้อน ค่อนข้างมาก จึงไม่เป็นการดีที่จะรวมเอาของกินที่มีสรรพคุณร้อนกับร้อน หรือเย็นกับเย็นมารวมกัน
ประโยชน์ที่ได้รับจากอินทผาลัมมีอยู่ 2 ด้านคือ
1. ประโยชน์ด้านโภชนาการ
ใน อินทผาลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซี่ยม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมแมงกานีส น้ำมันโอลาไดท์ ฯลฯ อินทผาลัมมีเส้นใยมาก ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ย่อยง่ายให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่นเพลียมีกำลังวังชาสู่สภาพเดิม นอกจากนี้ยังบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมให้กับผู้เป็นมารดาด้วย
2. ประโยชน์ด้านการรักษาโรค
อิน ทผาลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิวโหย แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศรีษะช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นกอจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกค้างในสำไส้ และระบบทางเดินอาหาร เพราะอินทผาลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค อันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้อง
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า เรื่องราวของอินทผาลัมได้ถูกกล่าวไว้อย่างมาก ทั้งในคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดิษ นั่นย่อมหมายถึงความสำคัญของผลอินทผาลัม นั้นย่อมมีมากจริง และคงไม่ได้มากเฉพาะในด้านของประโยชน์ทางโภชนาการและประโยชน์ด้านการรักษา โรคเท่านั้น เพราะทุกวันนี้อินทผาลัมได้สร้างมูลค่าทางการส่งออก ให้กับประเทศมุสลิมหลายประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างงานให้กับพี่น้องมุสลิมที่ทำการค้าขายจำนวนมากเช่นกัน และเมื่อได้รับทราบถึงคุณประโยชน์ที่มากมายมหาศาลของอินทผาลัมแล้ว ทำให้อดรู้สึกเสียดายในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการที่พี่น้องมสุลิม ส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำคุณประโยชน์เหล่าน้นมาใช้กันอย่างคุ้มค่า ตามคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม และจากการค้นพบด้านการแพทย์จากนักวิชาการ เรายังให้ความสำคัญกับอินทผาลัมน้อยมาก เรามุ่งบริโภคเฉพาะเดือนรอมฎอน และการบริโภคมิได้เป็นไปตามแบบอย่างที่ท่านศาสดา ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัมได้ปฏิบัติไว้ เราไปให้ความสำคัญกับอาหารและผลไม้อื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ที่น้อยและราคาแพงกว่า และที่เป็นตัวอย่างหรืออีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ให้เห็นว่ามุสลิมผู้ศรัทธา ยังมิได้รับฮิกมะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮูว่าตาอาลา จากสิ่งที่พระองค์ได้ประทานมา
http://www.alkawthar.or.th/main/content.php?page=sub&category=6&id=68
รายงานฮาดิษข้าง ต้นนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาต่างยึดถือและปฏิบัติกันมาตลอด กว่า 1,400 ปี อินทผาลัมจึงได้ถูกเปรียบเสมือนผลไม้ที่ต้องอยู่คู่กับมุสลิมและทำให้ อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่มีผู้บริโภคมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันอินทผาลัมไม่ได้ถูกบริโภคเฉพาะในเดือนรอมฎอนสำหรับมุสลิมเท่านั้น แต่อินทผาลัมได้กลายเป็นผลไม้ยอดฮิตของประชาคมโลกตลอดทุกฤดูกาล จนทำให้หลายประเทศในตะวันออกกลางได้จัดให้อินทผาลัมเป็นสินค้าส่งออกที่ สร้างรายได้ให้กับประเทศนั้น ได้อย่างมหาศาล
มีการค้นหาเหตุผลกันในหมู่ นักวิชาการทั้งด้านศาสนาและด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่าทำไม อินทผาลัมถึงเป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน และฮาดิษต่างๆ จำนวนมาก แล้วในที่สุดผลการวิเคราะห์วิจัย ต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า อินทผาลัมนั้นมีคุณประโยชน์มากมายในหลายๆ ด้าน ถึงขนาดว่าถ้าจะเรียกว่าอินทผาลัมนั้นเป็นผลไม้ที่มีความมหัศจรรย์ที่สุดก็ ว่าได้
อินทผาลัม เป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลาง อินทผาลัมเป็นพืชประเภทปาล์มชนิด Phoerise daetylisera Linn อยู่ในกลุ่ม Plame ที่ผลทานได้ จากหลังฐานที่ปรากฏมีมาแล้วหลายพันปี เป็นพืชที่มีใบเขียวตลอดทั้งปี เริ่มให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 5 – 7 ปี และมีอายุยืนยาวถึงกว่า 100 ปี อินทผาลัมมีหลายพันธ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในแต่ละปีจะให้ผลเฉลี่ยประมาณ 7,000 – 8,000 ลูกต่อปี หรือ ประมาณ 100 – 150 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น ผลของอินทผาลัมสุกสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี ณ อุณหภูมิคงที่ 8 องศาเซลเซียส และถ้านำมาแปรรูปโดยการผึ่งแดด 7 – 10 วัน จนผลแห้ง สามารถเก็บไว้ได้นานนับปีๆ ถึงหลายปีเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังสามารถนำไปกวนและนำไปแช่อิ่ม และทำเป็นขนมในรูปแบบต่างๆ ได้อีกมากมายรวมถึงทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติหอมหวานนุ่มนวล ที่เรียกกันว่า “อินทผาลัม เชค” (Date Shakes) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศแถบยุโรป และ อเมริกา
สำหรับชาวอาหรับ ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของอินทผาลัม เรียกว่า อันนัคลุ้ หรือ อันนะคีล เหตุที่เรียกอินทผาลัมว่า อันนะคีล เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “นัคลฺ” ซึ่งหมายความถึงคัดเลือก กลั่นกรอง เพราะอินทผาลัมถือเป็นพืชยืนต้นที่มีเกียรติที่สุดในบรรดาพืชยืนต้นด้วยกัน และที่สำคัญ อินทผาลัมได้ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ รวมถึง 20 แห่งด้วยกัน
การเรียกขานอินทผาลัมของชาวอาหรับ จะเรียกแตกต่างกันไป คือ เมื่ออยู่ในช่วงก่อนสุก จะเรียกว่า “อัลบะละฮฺ” เมื่อเริ่มมีสี จะเรียกว่า “อัลบุสรุ้” พอเริ่มสุกก็จะเรียกว่า “อัรรุฎ่อบุ้” และเมื่อผลแห้งอย่างที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปก็จะถูกเรียกว่า “ตัมรฺ” ในแต่ละสภาพของผลอินทผาลัมตั้งแต่ก่อนสุก เข้าสี สุก จนถึงแห้ง ต่างก็มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ต่างกัน ดังมีปรากฏในอัลฮาดิษซึ่งรายงานโดย อันนะซาวีย์และอิบนุมาญะฮฺ จากท่านหญิง อาอีซะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านศาสดามูฮำหมัดซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงกินอินทผาลัมสด กับอินทผาลัมสุกที่แห้ง มีนักการแพทย์มุสลิมให้เหตุผลว่า การที่ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ใช้ให้กินอินทผาลัมสดกับอินทผาลัมที่แห้งโดยไม่ใช้ให้กินอินทผาลัมที่เข้าสี กับอินทผาลัมที่แห้ง เป็นเพราะอินทผาลัมสด มีสรรพคุณเป็นของเย็นและแห้ง ส่งอินทผาลัมแห้งมีสรรพคุณ เป็นของร้อนชื้น แต่ละชนิกจะแก้กัน เหมือนกับเวลากินทุเรียนซึ่งเป็นของร้อน ก็ให้กินมังคุดตามเข้าไปช่วยแก้ เพราะมังคุดเป็นของเย็น ส่วนอินทผาลัมแห้ง ถือเป็นของร้อน อินทผาลัมมีสรรพคุณร้อน ค่อนข้างมาก จึงไม่เป็นการดีที่จะรวมเอาของกินที่มีสรรพคุณร้อนกับร้อน หรือเย็นกับเย็นมารวมกัน
ประโยชน์ที่ได้รับจากอินทผาลัมมีอยู่ 2 ด้านคือ
1. ประโยชน์ด้านโภชนาการ
ใน อินทผาลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซี่ยม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมแมงกานีส น้ำมันโอลาไดท์ ฯลฯ อินทผาลัมมีเส้นใยมาก ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ย่อยง่ายให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่นเพลียมีกำลังวังชาสู่สภาพเดิม นอกจากนี้ยังบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมให้กับผู้เป็นมารดาด้วย
2. ประโยชน์ด้านการรักษาโรค
อิน ทผาลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิวโหย แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศรีษะช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นกอจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกค้างในสำไส้ และระบบทางเดินอาหาร เพราะอินทผาลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค อันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้อง
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า เรื่องราวของอินทผาลัมได้ถูกกล่าวไว้อย่างมาก ทั้งในคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดิษ นั่นย่อมหมายถึงความสำคัญของผลอินทผาลัม นั้นย่อมมีมากจริง และคงไม่ได้มากเฉพาะในด้านของประโยชน์ทางโภชนาการและประโยชน์ด้านการรักษา โรคเท่านั้น เพราะทุกวันนี้อินทผาลัมได้สร้างมูลค่าทางการส่งออก ให้กับประเทศมุสลิมหลายประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างงานให้กับพี่น้องมุสลิมที่ทำการค้าขายจำนวนมากเช่นกัน และเมื่อได้รับทราบถึงคุณประโยชน์ที่มากมายมหาศาลของอินทผาลัมแล้ว ทำให้อดรู้สึกเสียดายในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการที่พี่น้องมสุลิม ส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำคุณประโยชน์เหล่าน้นมาใช้กันอย่างคุ้มค่า ตามคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม และจากการค้นพบด้านการแพทย์จากนักวิชาการ เรายังให้ความสำคัญกับอินทผาลัมน้อยมาก เรามุ่งบริโภคเฉพาะเดือนรอมฎอน และการบริโภคมิได้เป็นไปตามแบบอย่างที่ท่านศาสดา ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัมได้ปฏิบัติไว้ เราไปให้ความสำคัญกับอาหารและผลไม้อื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ที่น้อยและราคาแพงกว่า และที่เป็นตัวอย่างหรืออีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ให้เห็นว่ามุสลิมผู้ศรัทธา ยังมิได้รับฮิกมะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮูว่าตาอาลา จากสิ่งที่พระองค์ได้ประทานมา
http://www.alkawthar.or.th/main/content.php?page=sub&category=6&id=68
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)