Tag

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กายส์ไปบริจาคของให้นักเรียนชาวเขา บ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ pai



แจกผ้าห่ม เสื้อกันหนาว เครื่องเขียน แบบเรียน อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ

 
 ไปบริจาคของให้นักเรียนชาวเขา บ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ pai

นักเรียนบ้านใหม่สหสัมพันธ์ @ Pai

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 ประเด็นที่ทำให้คนไทยล้าหลัง ในมุมมองของ วิกรม กรมดิษฐ์

1. คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวม แต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้วทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ
 
2. การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษา คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะ จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
 3. คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำ งานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยนักที่จะวางแผนให้ตัวเองอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต สะสมความสำเร็จไปอย่างเป็นลำดับ หรือเป็นเพราะไม่กล้าฝัน หรือไม่มีความฝันก็ไม่แน่ใจ และชอบพึ่งสิ่งงมงาย โชคชะตา พอใจทำงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ ทำให้ประสิทธิภาพของเราไม่ทันกับการแข่งขันระดับโลก
4. คนไทยไม่ค่อยจะจริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การรับปากของเรามักทำแบบผักชีโรยหน้า หรือเกรงใจ แต่ทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจะพบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่น หรือยุโรป คนเขาจะให้ความสำคัญกับสัญญาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้ ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิต ในการเชื่อถือด้านนี้ลงไปเรื่อย ๆ
 5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประเทศของเรากระจุกตัวความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ในต่างประเทศ การสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกล แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ สนับสนุนเขาก็ลงทุน การสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งและดำเนินอย่างไม่ต่อเนื่อง สังคมไทยชอบทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกปราบปรามไม่จริงจัง อาจได้ยินกรณีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารก็ตาม
จะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7. สังคมไทยชอบอิจฉาตาร้อน ไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษและชอบเลี่ยงเป็นศรีธนญชัย เมื่อจนตรอกในวงการเราจะพบกระแสของคนประเภทนี้ปะปนมากขึ้น จะเพราะเป็นเพราะสังคมเรายอมรับหรือยกย่องคนที่มีอำนาจ มีเงิน แต่ไม่มีใครรู้ภูมิหลังโดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจเอาตัวรอด หน้าตาเฉย คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายเสียอีก เพราะทำความเสียหายต่อบ้านเมืองมากกว่า และจะเป็นประเภทดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าจะเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอบ้านเราค้านลูกเดียว ทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะเอ็นจีโอบางกลุ่มที่อิงผลประโยชน์อยู่ ถ้าจะพูดกันแบบมีเหตุผล ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เอ็นจีโอดี ๆ ก็มีแต่บ้านเรามีน้อย กรณีน้ำท่วมเพราะไม่มีเขื่อนรองรับเพียงพอ พอเกิดน้ำท่วม พวกที่ค้านจะแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9. คนไทยอาจจะไม่พร้อมในเวทีโลก เพราะไม่ถนัดภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาตัวเองทำให้โลกภายนอกไม่รู้จักคนไทยเท่าที่ควร และการจัดการตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลก ของเราขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้เราสู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. คนไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม คุณวิกรมแสดงความเห็นว่าการอบรมเยาวชนมาจาก 3 ทาง หนึ่งภายในครอบครัว สองจากโรงเรียนและสามจากสังคม หรือสื่อสารมวลชน

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สาระน่ารู้........โรคกระเพาะอาหารกับอินทผาลัม

โดยทั่วไปแล้ว....... คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่โดยเฉพาะอาการที่ปวดเรื้อรังมานานเป็นโรค กระเพาะอาหาร แต่แท้ที่จริงแล้วอาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคอื่นๆภายในช่องท้อง เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน แผลเพ็บติก โรคของตับ ถุงน้ำดี โรคมะเร็งกะเพาะอาหาร เป็นต้น

                 บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร

                    คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                    บรรดากลุ่มโรคกระเพาะอาหารนั้น ที่พบบ่อยและสำคัญ คือ โรคแผลเพ็บติก  (Peptic ulcer) หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “โรคกระเพาะอาหาร” หมายถึงโรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรังหรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รีบรักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆหายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมากจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต แผลในกระเพาะอาหารนี้พบได้ทั้งชายและหญิง ทุกเพศและทุกวัย

                สาเหตุของโรคแผลเพ็บติกเกิดขึ้นเนื่องจากปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร กับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สมดุลกัน หากกรดหลั่งมากเกินไปหรือความต้านทานต่อกรดลดลงก็จะทำให้เกิดแผลเพ็บติกขึ้น ได้ ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญของแผลเพ็บติก ได้แก่ การติดเชื้อเอชไพโลไร ( Helicobactor pylori )
การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคโดยตรง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด ผู้ที่มีหมู่โลหิตโอ และความเครียดทางอารมณ์

                อาการของโรคที่สำคัญ ได้แก่ ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ พบบ่อยที่สุดเวลาหิวหรือท้องว่าง จึงมีอาการเฉพาะบางช่วงของวัน ปวดท้อง แน่นท้อง อาการปวดมักจะเป็นๆหายๆ เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดใหม่อีก แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ทรุดโทรม

                การรักษาโรคแผลเพ็บติกนอกจากจะให้ยาลดกรดเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังต้องรักษาที่สาเหตุของโรคด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ทานตรงกันทุกมื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด งดชา กาแฟ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด และลดความวิตกกังวล แต่หากมีอาการแทรกซ้อนก็ควรรีบพบแพทย์

                จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะ อาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย


ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)  กล่าวว่า
“ ผู้ใดที่รับประทานอินทผาลัมที่มาจากอัจวะฮฺ 7 เม็ดในตอนเช้าแล้ว ในวันนั้น
          พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน ”   
     
                                                                                                                                     
(ซอเฮียะฮฺบุคอรี, 664)

             
               ...รู้อย่างนี้แล้ว... ใครที่มีปัญหาปวดท้องหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ก็ ลองหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการทานอินทผาลัมวันละ 7 เม็ด อินชาอัลลอฮฺอาการน่าจะดีขึ้นและเราก็ยังได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านนบีมุฮัม มัด (ซ.ล.) อีกด้วย


บรรณานุกรม

-           พญ.เพ็ญแข แดงสุวรรณ, 2548, โรคกระเพาะอาหาร, สำนักพิมพ์ใกล้หมอ

-          A.A.Al-Qarawi, H.Abdel-Rahman et all, 2005, “The ameliorative effect of dates (Phoenix  dactylifera L.) on ethanol-induced gastric ulcer in rats”.Journal of Ethonopharmacology 98, 313-317.

-           2007, Hadith, [online], Access : http://www.searchtruth.com

http://www.annisaa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=7&Itemid=30

อินทผาลัม

“ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม ละศีลอดดัวยอินทผาลัมสด 2-3 เม็ด ก่อนที่ท่านจะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผาลัมสด ท่านก็รับประทานอินทผาลัมแห้ง แต่ถ้าไม่มีอินทผาลัมแห้ง ท่านจะดื่มน้ำ 2-3 อึก แทน”
รายงานฮาดิษข้าง ต้นนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาต่างยึดถือและปฏิบัติกันมาตลอด กว่า 1,400 ปี อินทผาลัมจึงได้ถูกเปรียบเสมือนผลไม้ที่ต้องอยู่คู่กับมุสลิมและทำให้ อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่มีผู้บริโภคมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันอินทผาลัมไม่ได้ถูกบริโภคเฉพาะในเดือนรอมฎอนสำหรับมุสลิมเท่านั้น แต่อินทผาลัมได้กลายเป็นผลไม้ยอดฮิตของประชาคมโลกตลอดทุกฤดูกาล จนทำให้หลายประเทศในตะวันออกกลางได้จัดให้อินทผาลัมเป็นสินค้าส่งออกที่ สร้างรายได้ให้กับประเทศนั้น ได้อย่างมหาศาล
มีการค้นหาเหตุผลกันในหมู่ นักวิชาการทั้งด้านศาสนาและด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่าทำไม อินทผาลัมถึงเป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน และฮาดิษต่างๆ จำนวนมาก แล้วในที่สุดผลการวิเคราะห์วิจัย ต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า อินทผาลัมนั้นมีคุณประโยชน์มากมายในหลายๆ ด้าน ถึงขนาดว่าถ้าจะเรียกว่าอินทผาลัมนั้นเป็นผลไม้ที่มีความมหัศจรรย์ที่สุดก็ ว่าได้
อินทผาลัม เป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดแถบทะเลทรายในตะวันออกกลาง อินทผาลัมเป็นพืชประเภทปาล์มชนิด Phoerise  daetylisera Linn อยู่ในกลุ่ม Plame ที่ผลทานได้ จากหลังฐานที่ปรากฏมีมาแล้วหลายพันปี เป็นพืชที่มีใบเขียวตลอดทั้งปี เริ่มให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 5 – 7 ปี และมีอายุยืนยาวถึงกว่า 100 ปี อินทผาลัมมีหลายพันธ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในแต่ละปีจะให้ผลเฉลี่ยประมาณ 7,000 – 8,000 ลูกต่อปี หรือ ประมาณ 100 – 150 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น ผลของอินทผาลัมสุกสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี ณ อุณหภูมิคงที่ 8 องศาเซลเซียส และถ้านำมาแปรรูปโดยการผึ่งแดด 7 – 10 วัน จนผลแห้ง สามารถเก็บไว้ได้นานนับปีๆ ถึงหลายปีเลยทีเดียว  นอกจากนั้นยังสามารถนำไปกวนและนำไปแช่อิ่ม และทำเป็นขนมในรูปแบบต่างๆ ได้อีกมากมายรวมถึงทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติหอมหวานนุ่มนวล ที่เรียกกันว่า “อินทผาลัม เชค”  (Date Shakes) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศแถบยุโรป และ อเมริกา
สำหรับชาวอาหรับ ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของอินทผาลัม เรียกว่า อันนัคลุ้ หรือ อันนะคีล เหตุที่เรียกอินทผาลัมว่า อันนะคีล เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “นัคลฺ” ซึ่งหมายความถึงคัดเลือก กลั่นกรอง เพราะอินทผาลัมถือเป็นพืชยืนต้นที่มีเกียรติที่สุดในบรรดาพืชยืนต้นด้วยกัน และที่สำคัญ อินทผาลัมได้ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ รวมถึง 20 แห่งด้วยกัน
การเรียกขานอินทผาลัมของชาวอาหรับ จะเรียกแตกต่างกันไป คือ เมื่ออยู่ในช่วงก่อนสุก จะเรียกว่า “อัลบะละฮฺ” เมื่อเริ่มมีสี จะเรียกว่า “อัลบุสรุ้” พอเริ่มสุกก็จะเรียกว่า “อัรรุฎ่อบุ้” และเมื่อผลแห้งอย่างที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปก็จะถูกเรียกว่า “ตัมรฺ” ในแต่ละสภาพของผลอินทผาลัมตั้งแต่ก่อนสุก เข้าสี สุก จนถึงแห้ง ต่างก็มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ต่างกัน ดังมีปรากฏในอัลฮาดิษซึ่งรายงานโดย อันนะซาวีย์และอิบนุมาญะฮฺ จากท่านหญิง อาอีซะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านศาสดามูฮำหมัดซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงกินอินทผาลัมสด กับอินทผาลัมสุกที่แห้ง มีนักการแพทย์มุสลิมให้เหตุผลว่า การที่ท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัม ใช้ให้กินอินทผาลัมสดกับอินทผาลัมที่แห้งโดยไม่ใช้ให้กินอินทผาลัมที่เข้าสี กับอินทผาลัมที่แห้ง เป็นเพราะอินทผาลัมสด มีสรรพคุณเป็นของเย็นและแห้ง ส่งอินทผาลัมแห้งมีสรรพคุณ เป็นของร้อนชื้น แต่ละชนิกจะแก้กัน เหมือนกับเวลากินทุเรียนซึ่งเป็นของร้อน ก็ให้กินมังคุดตามเข้าไปช่วยแก้ เพราะมังคุดเป็นของเย็น ส่วนอินทผาลัมแห้ง ถือเป็นของร้อน อินทผาลัมมีสรรพคุณร้อน ค่อนข้างมาก จึงไม่เป็นการดีที่จะรวมเอาของกินที่มีสรรพคุณร้อนกับร้อน หรือเย็นกับเย็นมารวมกัน
ประโยชน์ที่ได้รับจากอินทผาลัมมีอยู่ 2 ด้านคือ
1.       ประโยชน์ด้านโภชนาการ
ใน อินทผาลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซี่ยม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมแมงกานีส น้ำมันโอลาไดท์ ฯลฯ  อินทผาลัมมีเส้นใยมาก ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ย่อยง่ายให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่นเพลียมีกำลังวังชาสู่สภาพเดิม นอกจากนี้ยังบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมให้กับผู้เป็นมารดาด้วย
2.       ประโยชน์ด้านการรักษาโรค
อิน ทผาลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิวโหย แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศรีษะช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นกอจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกค้างในสำไส้ และระบบทางเดินอาหาร เพราะอินทผาลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค อันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้อง
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า เรื่องราวของอินทผาลัมได้ถูกกล่าวไว้อย่างมาก ทั้งในคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดิษ นั่นย่อมหมายถึงความสำคัญของผลอินทผาลัม นั้นย่อมมีมากจริง และคงไม่ได้มากเฉพาะในด้านของประโยชน์ทางโภชนาการและประโยชน์ด้านการรักษา โรคเท่านั้น เพราะทุกวันนี้อินทผาลัมได้สร้างมูลค่าทางการส่งออก ให้กับประเทศมุสลิมหลายประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างงานให้กับพี่น้องมุสลิมที่ทำการค้าขายจำนวนมากเช่นกัน และเมื่อได้รับทราบถึงคุณประโยชน์ที่มากมายมหาศาลของอินทผาลัมแล้ว ทำให้อดรู้สึกเสียดายในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการที่พี่น้องมสุลิม ส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำคุณประโยชน์เหล่าน้นมาใช้กันอย่างคุ้มค่า ตามคำสอนของท่านศาสดามูฮำหมัด ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม  และจากการค้นพบด้านการแพทย์จากนักวิชาการ เรายังให้ความสำคัญกับอินทผาลัมน้อยมาก เรามุ่งบริโภคเฉพาะเดือนรอมฎอน และการบริโภคมิได้เป็นไปตามแบบอย่างที่ท่านศาสดา ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิว่าซัลลัมได้ปฏิบัติไว้ เราไปให้ความสำคัญกับอาหารและผลไม้อื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ที่น้อยและราคาแพงกว่า และที่เป็นตัวอย่างหรืออีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ให้เห็นว่ามุสลิมผู้ศรัทธา ยังมิได้รับฮิกมะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮูว่าตาอาลา จากสิ่งที่พระองค์ได้ประทานมา

http://www.alkawthar.or.th/main/content.php?page=sub&category=6&id=68

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

8 วิธีเพิ่มสุขด้วยใจ

การดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย ปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล อึดอัดคับข้องนานัปการ จึงอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นของวัน เราจะต้องผจญกับปัญหาต่างๆ เช่น สภาพการจราจรที่ติดขัด การตกอยู่ท่ามกลางภาวะดิ้นรนแข่งขัน ปัญหาในที่ทำงาน สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มีความ แปรปรวน ขาดความมั่นคง ด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพสังคมที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในปัจจุบันมักละเลยการดูแลเอาใจใส่ต่อสภาพจิตใจของตนเอง ทำให้จิตใจเราอ่อนแอ เกิดความเครียดได้ง่าย
ด้วยปัญหาแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ส่งผลต่อจิตใจที่อ่อนแอ เปราะบาง แล้วยังกระทบถึงร่างกาย ดังคำกล่าวที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เช่น ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร ภูมิแพ้ หอบหืด ปวดศีรษะ ไมเกรน เป็นต้น ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำลายความสุขในชีวิตของเรา ดังนั้นเราจึงต้องดูแลสภาพจิตใจของเราให้เข้มแข็งและพร้อมที่จะเผชิญหน้า เพื่อให้ผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้
การแสวงหาความสุขของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน หนีไม่พ้นการสร้างความสุขจากการที่ได้ครอบครองวัตถุ ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ยิ่งต้องมุ่งมั่นหาเงินให้มาก เพื่อที่จะได้มีกำลังซื้อและสรรหาสิ่งต่าง ๆ มาสนอง ความต้องการของตน ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ชีวิตคนในปัจจุบันต้องวนเวียนอยู่ใน วัฎจักรของการแสวงหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด ขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด สับสนในชีวิตด้วยขาดความเข้าใจในวิธีการสร้างความสุขให้กับชีวิตได้อย่างแท้ จริง ด้วยเหตุนี้เราจึงควรมีแนวทางการสร้างความสุขด้วยใจ เพื่อการพบความสุขที่แท้จริง...
รายงานวิจัยต่าง ๆ ได้สรุปไว้ว่า ผู้ที่มีความสุขมักจะประสบความสำเร็จมากกว่าบุคคลอื่น ๆ ที่ เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก คนที่มีความสุขมักจะมองโลกในแง่ดี เข้าสังคมได้ง่าย เป็นที่ชื่นชอบ มีความตื่นตัวและมีพลัง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ ปัจจัยที่สำคัญที่นำทางให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ แล้วทำอย่างไรล่ะ ที่เราจะมีความสุขได้ โดย Joanna Brandi ได้เสนอ 8 วิธี ในการสร้างเสริมความสุข ได้แก่
1) การมองในแง่ดี (optimism) มีงานวิจัยกล่าวว่า คนที่มองในแง่ดีมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มองในแง่ไม่ดี ถึง 10 ปี
2) การแสดงความขอบคุณ (gratitude) การแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีรอบข้างและเป็นวัฒนธรรมที่ดีในสังคม
3) ให้อภัย (forgiveness) การสร้างความสงบสุข เป็นหนทางแห่งความสุข
4) พัฒนาตนเองทางการพูด (improve yourself- talk) การพูดในทางบวกช่วยลดความเครียดและทำให้สมองผ่อนคลาย มีความคิดสร้างสรรค์ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
5) ปลดปล่อย (flow) ลืมสิงที่ไม่ดี ปล่อยให้มันผ่านไป การลืม เป็นวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมความสุขที่ดี
6) มีความสุขหรือเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำ (savor) ความ เพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำ เราสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งก่อนที่เราจะลงมือทำ ขณะที่ทำ และคิดถึงมัน หลังจากงานได้ลุล่วงไปแล้ว
7) มองมุมใหม่ (reframe) การมองสิ่งเดิมในมุมใหม่ ๆ จะช่วยให้ความคิดทางลบเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกมากขึ้น
8) การสร้างความสุขจากสิ่งที่เราทำได้ดี (building on strength) ความสุขนั้นจะเป็นความสุขที่ยั่งยืนถ้าเป็นความสุขที่เราได้ทำสิ่งที่เราทำ ได้ดี หาโอกาสทำในสิ่งที่ตนเองทำได้ดีแล้วคุณจะไม่เบื่อและมีความสุข
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเกิดมาจะมีทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไปเป็น สีสันของชีวิต หากท่านไม่เคยทุกข์ ท่านก็จะไม่รู้ว่าความสุขดีกว่าความทุกข์อย่างไร และหากท่านไม่เคยมีความทุกข์ ท่านก็จะไม่รู้ว่าความสุขนั้นมีค่าเพียงใด เพราะคนเราหลีกเลี่ยงความทุกข์แล้วเลือกแต่ความสุขไม่ได้ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความทุกข์และเรียนรู้ที่จะสร้างความสุข ให้แก่ชีวิต น่าจะเป็นการง่ายกว่าการพยายามหนีจากความทุกข์ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังทุกข์ มีจิตใจที่เข้มแข็งและสร้างความสุขได้ในเร็ววันนะคะ...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lauriermybrand.com

25 วิธี มีความสุขกับเรื่องรอบตัว

ใครว่า "ความสุข" หาได้ยาก ทั้งที่ความจริงแล้วทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ล้วนสามารถมองให้เป็น "ความสุข" ได้ทั้งนั้น ลองอ่านวิธีสร้างความสุขต่อไปนี้ดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่า "ความสุข" เกิดขึ้นง่ายๆ ได้อย่างไร
1.คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักใกล้ตายจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง หรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้
2.จดบันทึกเขียนเล่าเรื่องถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย
3.มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร แล้วคุณพลาดการนัดกับเพื่อนเพื่อไปดูหนัง ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อมองย้อนกลับไป
4.อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลน ก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย
5.ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จๆ ไปเลย
6.เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงน่าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระช่วยบ้าง เปลี่ยนแปลงตัวเองด้านการแต่งกาย ทรงผม ทานอาหารรสชาติใหม่ๆ
7.อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ บ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูคันใหม่ ไม่ต้อง สนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี
8.กำจัดข้าวของรกบ้าน เสื้อผ้า ของเล่น หนังสือเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ยกไปบริจาคเถิด ได้บุญกุศล
9. รู้จักเอ่ยคำว่า "ไม่" ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่อง เพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว
10. รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะ หนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาเป็นของธรรมดาความสัมพันธ์ฉันสามี
11.อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อน หรือผู้อื่น คู่ครอง และคนในครอบครัว คุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
12.มอบความรักให้คู่ครอง ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่า คุณ "รัก" พวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร
13.อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณก็ไม่ต้องฝืน ทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
14.ติดต่อเพื่อนเก่า ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา ส่ง SMS
15.บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ตัดดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ที่สดใสนำมาใส่แจกัน
16.ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดลูบไล้แผ่นหลัง ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
17.สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้
18.สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว
19.ออกไปเดินเล่น การออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณ ทั้งร่างกายและจิตใจ
20.ดูหนังตลก และหัวเราะให้สบายใจ
21.ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้อง และผนังใหม่ด้วย
22.รอคอยสิ่งดีๆ เช่น วันหยุดพักร้อน ออกท่องราตรีกับเพื่อนฝูง ไปดูหนัง ฟังเพลง หาร้านอาหารอร่อยๆ ที่ไม่เคยไป รอโทรศัพท์จากคนรู้ใจ
23.ชวนเพื่อน/คนรู้จัก หรือใครก็ได้ มากินมื้อค่ำ จัดห้อง โต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสริฟ์เครื่องดื่มค็อกเทล เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น
24.ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อลองยิ้มดูสิ
25.ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง อาสาช่วยงานกุศล บริจาค พากันไปท่องเที่ยวหาความสุข หรือช่วยทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นมีความสุข
เห็นไหมว่า การสร้างความสุขไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเราใช้สติสักนิด ปรับเปลี่ยนทัศนคติสักหน่อย แล้วหาเรื่องชวนยิ้มที่อยู่รอบๆ ตัวเราให้เจอ "ความสุข" มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ
ข้อมูลจาก :  Forward Mail

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Cant Help Falling in Love

ศิลปิน : Elvis Presley

อัลบั้ม : อัลบั้ม Promises and Lies
คำร้อง/ทำนอง : George David Weiss/Hugo E. Peretti/Luigi Creatore
C      G Am      F  Am  G 
Wise man say only fools rush in
     F      G      Am      F         C     G     C
But I, I can-t help falling in love with you.
C      G   Am         F    Am   G
Shall I stay would it be a sin
   F     G     Am      F          C     G     C
If I, I can-t help falling in love with you.
Em               Am
Like a river flows 
Em   Am
Surely to the sea
Em                  Am
Darling as we know
D7                                             G         
Some things where ment to be 
D      A    Bm       G       Bm        Am
Take my hand take my whole life to
      G    Am      Bm     G       D     A     D
But I, I can-t help falling in love with you.
      G    Am      Bm     G        D       A         D
But I, I can-t help falling.....In....love...With....You.
 
http://www.chordguitar.net

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

reasons why diet cola is better than a MAN…

reasons why diet cola is better than a MAN


1. A diet cola is satisfying all the time.

2. You can dump a diet cola when you've had enough.

3. It generally lasts longer.

4. It's available in a variety of size.

5. You only need one.

6. Diet cola comes in a can, not in your mouth.

7. When you swallow a diet cola, you only get 1 calorie.

8. A diet cola doesn't dirty your sheets or dishes.

9. A diet cola will silently and patiently wait for you.

10. You can ignore a diet cola for days and it will still be there when you want it.

11. A diet cola respects you as much at night as it does in the morning.

12. When you swallow a diet cola, it doesn't leave an aftertaste in your mouth.

13. People don't talk if you've had 3 or 4 of them.

14. No privacy is needed to enjoy one.

15. Even if you spill one in bed, it won't make you sleep in a wet spot.

16. You can have a headache and enjoy it.

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดวงจำปา..อรวี สัจจานนท์

เตาเผาถ่าน 200 ลิตร และการเผาถ่าน

น้ำส้มควันไม้

Bottle Rescue in Chile "Installing bottle lights for a rural family" -Pa...

Sucker Punch หนังกำลังหามาดู แต่ที่ชอบคือโปสเตอร์สีสวย

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch




ตัวอย่างหนัง Sucker Punch





อีหนูดุทะลุโลก (Warner Bros.Pictures)

กำหนดฉาย
: 24 มีนาคม 2554
กำกับ : แซ็ค สไนเดอร์
เว็บไซต์ทางการภาพยนตร์ไทย

          หลับตาทั้งสองข้าง เปิดใจให้กว้าง คุณไม่มีทางจะได้ตั้งตัว

          ภาพยนตร์ เรื่อง Sucker Punch เป็นภาพยนตร์มหากาพย์แอ็คชั่นแฟนตาซี ที่พาเราเข้าสู่จินตนาการที่สดใสของหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้มีโลกแห่งความฝันที่ในตอนท้าย ได้พาเธอหลบหนีออกจากโลกแห่งความจริงที่โหดร้าย โดยไม่อาจขีดจำกัดด้วยห้วงเวลาหรือสถานที่ เธอไปที่ไหนก็ได้ทุกหนทุกแห่งตามที่ใจจะพาเธอไปอย่างเป็นอิสระ และการผจญภัยอันเหลือเชื่อที่ไม่มีความชัดเจน ระหว่างเส้นแบ่งของโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งจินตนาการ

          เธอถูกกักขังอย่างยอมจำนน แต่เบบี้ดอล (อีมิลี่ บราวนิ่ง) กลับไม่สูญสิ้นความตั้งใจที่จะอยู่รอดต่อไป เธอต่อสู้เพื่ออิสรภาพอย่างเด็ดเดี่ยว เธอผลักดันหญิงสาวทั้ง 4 ได้แก่ ร็อคเก็ต หญิงสาวช่างพูด (จีน่า มาโลน), บลอนดี้ ผู้มีไหวพริบ (วาเนสซ่า ฮัดเจนส์), แอมเบอร์ ผู้ซื่อสัตย์และดุดัน (เจมี่ ชุง) และ สวีทพี ผู้ลังเล (แอ็บบี้ คอร์นิช) มารวมตัวกัน เพื่อพยายามหนีจากชะตากรรมอันโหดร้ายจากเงื้อมมือของผู้คุมตัวของพวกเขาอย่าง บลู (ออสการ์ ไอแซ็ค), มาดาม กอร์สกี (คาร์ล่า กูกิโน่) และ เดอะ ไฮ โรลเลอร์ (จอน แฮมม์)

          ด้วยการนำทีมของเบบี้ดอล เหล่าสาวๆ ต้องต่อสู้ในสงครามประหลาด เผชิญหน้ากับทุกสิ่งตั้งแต่นักดาบซามูไรไปจนถึงงูยักษ์ด้วยอาวุธและกองกำลัง ของพวกเธอทั้งหมด พร้อมกันนั้นพวกเธอยังต้องเลือกว่า จะยอมสังเวยสิ่งใดไปเพื่อความอยู่รอด โดยมีความช่วยเหลือจาก ไวส์ แมน (สก็อตต์ เกล็นน์) หากพวกเธอทำให้สำเร็จได้ การเดินทางอันน่าเหลือเชื่อจะปลดปล่อยพวกเธอให้เป็นอิสระ


          ภาพยนตร์เกิดขึ้นจากมุมมองการสร้างสรรค์ของผู้สร้างภาพยนตร์ แซ็ค สไนเดอร์ (Watchmen, 300), ภาพยนตร์เรื่อง Sucker Punch มีการรวมเหล่านักแสดงสาวที่โดดเด่น ประกอบด้วย อีมิลี่ บราวนิ่ง (The Uninvited), แอ็บบี้ คอร์นิช (Bright Star), จีน่า มาโลน (Into the Wild), วาเนสซ่า ฮัดเจนส์ (ภาพยนตร์เพลงเรื่อง High School Musical) และเจมี่ ชุง (Sorority Row) นักแสดงคนสำคัญของภาพยนตร์ ยังรวมถึงออสการ์ ไอแซ็ค (Robin Hood) และคาร์ล่า กูกิโน่ (Watchmen) ร่วมกับจอน แฮมม์ (The Town, ภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง Mad Men) และสก็อตต์ เกล็นน์ (The Bourne Ultimatum)

          แซ็ค สไนเดอร์ ทำการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Sucker Punch จากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนร่วมกับสตีฟ ชิบูย่า โดยสร้างขึ้นจากเรื่องราวของสไนเดอร์ สไนเดอร์และเดโบราห์ สไนเดอร์ อำนวยการสร้างร่วมกับโธมัส ทัล, วีสลีย์ คอลเลอร์, จอน แจชนี่, คริส เดอฟาเรีย อำนวยการสร้างบริหารโดยจิม โรว์ และ วิลเลียม เฟย์

          ทีมผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์ ประกอบด้วยริค คาร์เตอร์ ผู้ออกแบบฉากที่คว้ารางวัล Academy Award® (Avatar) และแลร์รี่ ฟอง ผู้กำกับภาพที่โชกโชนประสบการณ์ จากภาพยนตร์เรื่อง Watchmen และ 300 ผู้ลำดับภาพ วิลเลียม ฮอย และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลคินสัน ดนตรีโดยไทเลอร์ เบตส์ และ มารีอุส เดอรีส์

          วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์ร่วมกับ เลเจนดารี่ พิกเจอร์, a Cruel and Unusual Production ในภาพยนตร์ของแซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง Sucker Punch ภาพยนตร์เริ่มเปิดตัวทั่วโลกวันที่ 24 มีนาคม 2011 โดยมีการจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ 




Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch

Sucker Punch 
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://movie.kapook.com/view20663.html

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การสร้างเตาอิวาเตะอย่างง่าย

เตาอิวาเตะเป็นเตาเผาถ่านที่ง่ายที่สุดให้ผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเผาเศษชิ้นไม้เต็ม 1 ถัง ขนาด 200 ลิตร ได้ถ่านประมาณ 15 – 20 กิโลกรัม ได้น้ำส้มควันไม้ประมาณ 5 ลิตร ขึ้นอยู่กับความชื้นของไม้
อุปกรณ์
1. ถังน้ำมันที่เป็นเหล็กขนาด  200 ลิตร                       1 ใบ
2. ท่อใยหินเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซ.ม.  ยาว 1 ม.         1 ท่อน
3. ข้องอปูน 90 องศา                                                  1 อัน
4. อิฐบล็อก                                                                 5 ก้อน
5. อิฐมอญ (อิฐแดง)                                                   1 ก้อน
6. อิฐมอญแดงขนาดเล็ก                                            2 ก้อน
7. หน้าดินหรือดินปลวก                                            1.5 ลูกบาศก์เมตร
8. ขี้เถ้าแกลบ                                                              1 ลูกบาศก์เมตร
9. ไม้ไผ่เส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า  7.5 ซ.ม.  ยาว 5 ม.  เจาะรูให้ทะลุทุกปล่อง ยกเว้นปล่องสุดท้ายไม่ต้องเจาะ
10. ไม้ทำหลัก                                                             8 ท่อน
11. สังกะสีหรือกระเบื้องที่ใช้แล้ว เพียงพอสำหรับล้อมรอบเตาด้านหลัง
12. ตะปู                                                                  3 – 4  ตัว
13. ทราย                                                                     1 ลูกบาศก์เมตร
14. ผ้าขี้ริ้วสำหรับทำลูกประคบ                                   1 ผืน

เครื่องมือ
1. เลื่อยคันธนู                    1 ปื้น
2. จอบ                               1 ด้าม
3. พลั่ว                               1 ด้าม
4. เกรียงเหล็ก                    1 อัน
5. มีดอีโต้ / เหล็กสกัดปูน  1 ด้าม
6. มีดพร้า                           2 ด้าม
7. เหล็กแชลง                     1 อัน
8. ค้อนปอนด์                     1 อัน
9. บุ้งกี้                                1 ใบ
10. ถังน้ำ                            1 ใบ
11. ตลับเมตร                     1 อัน
12. ตะปูขนาด 7.5 เซนติเมตร (3 นิ้ว)   8  ตัว  หรือ 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว)

วิธีทำ
1. เจาะที่ฝาถัง 200 ลิตร (ตรงฝาเปิด ใส่น้ำมัน) เป็นวงกลมให้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร เพื่อใส่ข้อต่อท่อใยหินขนาด 10 เซนติเมตร ที่จะต่อกับท่อใยหิน เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร เช่นกัน
2. ตัดฝาถัง 200 ลิตร ตามแนวขอบออกไว้ทำฝาถัง เพื่อสะดวกเรียงไม้เผาถ่านในเตา
3. เจาะที่ฝาถัง 200 ลิตรที่ได้ในข้อ 2 ให้มีขนาด 20×20 เซนติเมตร ให้ทำเป็นปากเตาปล่อยอากาศเข้า
4. เจาะรูด้านล่างของถังตรงตำแหน่ง ตรงกับช่องใส่ข้องอใยหิน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำที่ระเหยออกมาระหว่างการเผา
5. เจาะรูตรงข้องอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำที่กลั่นในท่อใยหิน
6. วางถังที่ตัดแล้วนอนลง เพื่อติดตั้งปล่องควันและกลบตัวถังด้วยดินหรือทราย เพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนความร้อน โดยให้ปากเตาสูงกว่าก้นเตาประมาณ 6 เซนติเมตร (โดยใช้อิฐมอญ 1 ก้อนรองปากเตา)
วิธีการเผาถ่าน
1. ตัดไม้ที่ใช้เผาถ่าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 – 5 เซนติเมตร มีความยาว 75 – 80 เซนติเมตร บรรจุใส่ถังในแนวนอน ถ้าไม่ใหญ่เกินไปให้ผ่าเสียก่อน โดยเรียงไม้ขนาดเล็กอยู่ด้านล่างให้ไม้ขนาดใหญ่อยู่ด้านบน เพราะความร้อนวิ่งผ่านด้านบนก่อน จะทำให้เกิดถ่านพร้อมกับไม้เล็กๆด้านล่าง ถ้าไม้เล็กอยู่ด้านบนจะไหม้เป็นขี้เถ้าเสียก่อน
2. ปิดฝาถังที่ทำด้วยฝาถังน้ำมัน ให้ปากเตาอยู่ด้านล่างโบกด้วยดินคลุกกับขี้เถ้าแกลบไม่ให้มีรอยรั่ว
3. นำดินที่คลุกด้วยขี้เถ้าแกลบ ใส่ในช่องของอิฐบล็อกทั้ง 5 ก้อนให้เต็ม
4. นำอิฐบล็อกมาทำช่องเพื่อก่อไฟที่ปากเตา โดยใช้อิฐ 2 ก้อน วางในแนวขนานกันออกจากปากเตาด้านแคบตั้งขึ้น ใช้อิฐอีก 2 ก้อนวางด้านแบนลง แล้วปิดรอยรั่วทั้งหมดโดยดินที่คลุกด้วยแกลบ
5. จุดไฟที่ปากเตาเป็นการเริ่มต้นการเผาถ่าน เมื่อเชื้อเพลิงที่หน้าเตาติดไฟแล้ว ปล่อยให้ไอร้อนวนอยู่ในเตา เพื่อไล่ความชื้นออกจากไม้ฟืนที่บรรจุในเตาจนได้ถ่าน เวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชื้นในไม้ (ไม้สดหรือไม้แห้ง)
6. เก็บน้ำส้มควันไม้ที่ปล่องควัน โดยสังเกตสีของควัน

อุณหภูมิและขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นถ่านในเตาอิวาเตะ

สีของควัน

สีของควันที่กลั่นตัวติดกระเบื้องเคลือบ

อุณหภูมิ
ที่ปล่องควัน

อุณหภูมิภายในเตา( 10 ซม. ต่ำจากเพดานเตา)

หมายเหตุ

ขาวปนเหลืองอ่อน
(ควันบ้า)

หยดน้ำใส

80 82  ํC

320 – 350 C

เริ่มขั้นตอนเปลี่ยนแปลงถ่าน

น้ำตาลปนเทา

ของเหลวสีน้ำตาล

82 85 ํC

350 380 ํC

เริ่มเก็บน้ำส้มควัน

น้ำตาลปนเทา
น้ำตาลปนขาว

ของเหลวสีชา
ของเหลวสีน้ำตาล
เป็นเส้นเล็กๆ


90 100 ํC
100 150 ํC

380 400 ํC

400 430 ํC

น้ำส้มควันไม้เข้มและ
มีความหนืดมาก


น้ำตาลปนขาว


ของเหลวสีน้ำตาล
เป็นเส้นใหญ่ๆ

150 170 ํC

430 450 ํC

หยุดเก็บน้ำส้มควันไม้

น้ำตาลปนขาว
น้ำเงินอ่อนปนขาว
น้ำเงินปนขาว

ของเหลวสีน้ำตาล
เป็นจุด


150 170 ํC
230 – 250 C
260 – 300 C

450 – 500 C

500 – 530 C
540 – 570 C

ขั้นตอนเปลี่ยนถ่าน
เสร็จสิ้นสมบูรณ์

ม่วงน้ำเงิน

จุดสีเทา  ไม่มีความชื้น

330 – 350 C

600 – 650 C

เริ่มขั้นตอนทำให้ถ่านบริสุทธิ์

ควันใส

สีเทาไม่มีจุด



700 – 800 C

ปิดเตา

 ที่มา : ขนิษฐ์ ทวีการ.(2526). ถ่านไม้และน้ำส้มควันไม้. ชมรมสวนป่า ผลิตภัณฑ์และพลังงานไม้.
เอกสารอ้างอิง :
 นิคม แหลมลัก.(2551). เอกสารประกอบการฝึกอบรม เรื่องการใช้ประโยชน์จากไม้โตเร็วเพื่อการผลิตถ่าน และน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ในครัวเรือน. กรังเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
 ขนิษฐ์ ทวีการ.(2526). ถ่านไม้และน้ำส้มควันไม้. ชมรมสวนป่า ผลิตภัณฑ์และพลังงานไม้.
 สุพรชัย มั่งมีสุทธิ์. การผลิตน้ำส้มควันไม้และการสร้างเตาเผาถ่านจากถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คลินิกเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
เบอร์โทรศัพท์   073-227-150-161 ต่อ 9902
E-mail    t_uttayarat@yahoo.com, orawann@yala.yru.ac.th   Website  http://yalor.yru.ac.th/%7Eclinictech/

การเผาถ่าน - กลุ่มเด็กทำเตาอิวาเตะ

การเผาถ่าน - ผลิตเตาเผาถ่านอิวาเตะ

การวิจัยน้ำส้มควันไม้

การวิจัยน้ำส้มควันไม้
มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดงร่วมกับ คณะอาจารย์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ร่วมวิจัย เรื่อง น้ำส้มควันไม้

เมื่อวันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง นำโดย
ดร.รุ่ง แก้วแดง ประธานมูลนิธิฯ นางเอมอร ยอดรักษ์ เลขานุการมูลนิธิฯ พร้อมด้วย
นายภากร นิจจรัลกุล ประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิฯ และนายมณัส ศุภชีวะกุล กรรมการมูลนิธิฯ ได้ต้อนรับคณะอาจารย์ และทีมวิจัย จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ นำทีมโดย ผศ.ดร.จันทิมา ชั่งสิริพร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเคมี และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา นำทีมโดย ผศ.ดร.อับดุลนาเซร์ ฮายีลาเต๊ะ มาศึกษาดูงาน เตาอิวาเตะและการผลิตน้ำส้มควันไม้ ของมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง ซึ่งเป็นเตาอิวาเตะที่สมบูรณ์ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อทำวิจัย และพัฒนาสู่สังคมต่อไป

ดร.รุ่ง แก้วแดง ได้บรรยายสรุปในประเด็น เตาอีวาเตะของมูลนิธิฯ กล่าวว่า เตาอีวาเตะของที่นี้ มีขนาดใหญ่และมีความพิเศษกว่าที่อื่น ซึ่งมีด้วยกัน 2 แบบ คือ 1.เตาอิวาเตะขนาดใหญ่ เรียกว่า เตาอิวาเตะอุตสาหกรรมชุมชน และ 2.เตาอิวาเตะขนาดเล็ก หรือขนาดครัวเรือน ได้มีการลองผิดลองถูกมาโดยตลอด เพื่อพัฒนาให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากที่สุด โดยที่เตาอีวาเตะทั้ง 2 แบบสามารถผลิต ผลผลิตในเวลาเดียวกันได้ 2 อย่าง
1.ได้ถ่านที่มีคุณภาพสูง และ 2. ได้น้ำส้มควันไม้ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการเกษตร ด้านการประมง ด้านปศุสัตว์ และใช้กับมนุษย์ได้อีกด้วย

หลังจากนั้น ดร.รุ่ง แก้วแดง ได้พาชมส่วนต่างๆของเตาทั้ง 2 แบบ และได้บรรยายในขั้นตอนการสร้างโรงเตา กระบวนการเผาถ่านและขั้นตอนในการเก็บน้ำส้มควันไม้ ทั้งเตาขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจของคณะอาจารย์และทีมวิจัยเป็นอย่างมาก และได้มีการสอบถามเรื่องราวต่างๆของเตาอิวาเตะของมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

ก่อนกลับดูเตาอิวาเตะ ดร.รุ่ง แก้วแดง ได้กล่าวอีกว่า โรงเตาอิวาเตะของที่นี่จะเป็นห้องแล็ปขนาดใหญ่ของคณะวิจัยที่สนใจ รวมทั้งขณะอาจารย์และทีมวิจัยที่มาในวันนี้ด้วยเพื่อวิจัยในมิติต่างๆของเตาอิวาเตะและผลผลิตของ
เตาอิวาเตะเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

หลังจากนั้นได้มีการเสวนาพูดคุยกันต่อถึงงานวิจัยของคณะอาจารย์และทีมวิจัยที่เกี่ยวกับเตาอิวาเตะในประเด็นต่างๆเพื่อพัฒนาเตาอิวาเตะไปสู่ชุมชน การพัฒนาผลผลิตของเตาอิวาเตะ และน้ำส้มควันไม้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อไปใช้ในด้าน
การเกษตร ด้านการประมง ด้านปศุสัตว์ และสกัดเป็นยาต่างๆใช้กับสัตว์และมนุษย์ต่อไป

ในการพูดคุยได้มีการตั้งโจทย์ต่างๆมายกเป็นประเด็นในงานวิจัย เช่น การเผาถ่าน โดยใช้ต้นไม้ยางพาราร้อยทั้งหมด กับการใช้ต้นไม้ยางพาราร่วมกับยางพาราดิบ ว่าคุณภาพของน้ำส้มควันไม้แตกต่างกันอย่างไร และการนำน้ำมันดินที่ตกตะกอนจากการพักน้ำส้มควันไม้ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งมาใช้ประโยชน์ต่อไปอย่างไร เป็นต้น

ผศ.ดร.อับดุลนาเซร์ ฮายีลาเต๊ะ อาจารย์ภาควิชาเคมีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า จากการมาดูงานที่มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง กับทีมวิจัยในวันนี้ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนเป็นอย่างยิ่ง มาดูการเผาถ่าน การเก็บน้ำส้มควันไม้ และงานอื่นๆเกี่ยวกับการฝึกอบรม ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ และใช้บริการจากที่นี่ได้เป็นอย่างดี ทางทีมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลามาช่วยกันทำเรื่องการวิจัยโดย
เฉพาะเชิงวิชาการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการของมูลนิธิฯ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ควรที่จะสนับสนุนในงานด้านต่างๆเพื่อให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

ผศ.ดร.จันทิมา ชั่งสิริพร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเคมี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวว่า ก่อนมาคิดไม่ออกว่าที่นี้เป็นอย่างไร พอมาแล้วรู้สึกดีที่นี้ร่มรื่นมาก ที่นี้หน้าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางคณะเองสามารถช่วยอะไรได้ก็จะช่วย โดยเฉพาะงานวิจัย ได้ช่วยชาวบ้านมีอยู่มีกิน เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงก็จะช่วยอย่างเต็มที่ และวันนี้มาดูการผลิตน้ำส้มควันไม้เพื่อมาทำวิจัยการแยกน้ำมันดิบ จากน้ำส้มควันไม้ ซึ่งทำสำเร็จมาระดับหนึ่งแล้ว โดยนำไปให้ชาวบ้านในชุมชน แล้วได้ผลเป็นอย่างดี ทางมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง มีโรงเตาผลิตน้ำส้มควันไม้ที่สมบูรณ์ และใหญ่ รู้สึกว่าใหญ่ที่สุดในประเทศเลยที่เดียว คิดว่าจะเอาเครื่องมือที่คิดได้ น่าจะเป็นนวัฒกรรมทางด้านวิศวกรรมเคมีมาประยุกต์ กับมูลนิธิฯ คิดในเรื่องต้นทุนการผลิต แล้วสามารถนำไปใช้กับชุมชนได้เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพน้ำส้มควันไม้ที่ผลิตออกมา และวันนี้ได้โจทย์ของปัญหาต่างๆ ที่สามารถนำเอาความรู้ ความสามารถของวิศวกรรมเคมีพร้อมด้วยทีมงาน คิดว่าน่าจะช่วยได้ในหลายๆ ด้าน และยินดีที่จะได้มาร่วมงานกับมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง

สุดท้ายทีประชุมเสวนาตกลงกันว่าจะร่วมกันจัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง น้ำส้มควันไม้ ในกลางปี 2552 หวังว่าในการจัดสัมมนาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Playboy Colombia 2011-06

4 อย่าของท่าน ว.วชิรเมธี

๑. อย่าเป็นนักจับผิด คนที่คอยจับผิดคนอื่นแสดงว่าหลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิดจิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาสจิตประภัสสรฉนั้นจงมองคน

มองโลกในแง่ดี แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็นก็เป็นสุข

๒. อย่ามัวแต่คิดริษยา ' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '

คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เรามีความริษยาเป็นการส่วนตัวมีชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวร ถ้าเขาสุขเราจะทุกข์ ฉนั้นเราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยาเป็นไฟสุมขอน เราริษยา 1 คนเราก็มีไฟสุมขอน 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนไฟริษยาออกจากใจเราได้ด้วยการ แผ่เมตตา หรือซื้อโคมาแล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา และปล่อยไป

๓. อย่าเสียเวลากับความหลัง 90% ของคนที่เป็นทุกข์เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก

เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาแล้วแบกเครื่องเคราเต็มหลัง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วจงปล่อยมันซะ อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี สติ กำกับอยู่ตลอดเวลา

๔. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ ตัณหาที่มีปัญหา คือการอยากเกินความพอดี

เหมือนทะเลที่ไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหาคือ

ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม เช่น นาฬิกามีไว้เพื่อใส่ดูเวลาไม่ใช่เพื่อความโก้หรู หรือคุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือมีไว้เพื่อการสื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าแท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม คุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหาแก่นของชีวิตให้เจอ

คำว่า พอดี คือรู้จัก พอ แล้วจะ ดี รู้จกพอจะมีชีวิตอย่างมีความสุข



ลานธรรมจักร

Maxim Magazine USA - August 2011

ผล Exit Poll เลือกตั้ง 2554 ออกมาแล้ว

เพื่อไทยนำ จาก สวนดุสิตโพล์ เอแบคโพล์ และโพล์อื่นๆ
ประชาธิปัตย์ได้ร้อยกว่าที่นั่งและน้อยกว่าเดิม

ดุสิตโพล

อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย จำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 66 ส.ส. เขต 247 รวม 313 คน
อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 45 ส.ส. เขต 107 รวม 152 คน
อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย จำนวนส.ส. บัญชีรายชื่อ 4 ส.ส.เขต 9 รวม 13 คน
อันดับ 4 พรรคชาติไทยพัฒนา จำนวนส.ส. บัญชีรายชื่อ 2 ส.ส.เขต 8 รวม 10 คน
อันดับ 5 พรรคพลังชล จำนวนส.ส. บัญชีรายชื่อ 1 ส.ส.เขต 4 รวม 5คน
อันดับ 6 พรรครักประเทศไทย จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน
อันดับ 7 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน
อันดับ 8 พรรครักษ์สันติ จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ 1
อันดับ 9 พรรค มาตุภูมิ จำนวนส.ส. บัญชีรายชื่อ 1 คน


เอแบคโพลล์

อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย 290
อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ 140
อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย 28
อันดับ 4 พรรคชาติไทยพัฒนา 14
อันดับ 5 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 12
อันดับ 6 พรรคพลังชล 6
อันดับ 7 พรรครักประเทศไทย 4
อันดับ 8 พรรค มาตุภูมิ 3
ปัญหาที่ตามมาคือ เดี๋ยวคงมีมุขเดิม ๆ ของพรรค และกลุ่มพวกที่ไม่เคารพในเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไทย ไม่ยึดมั่นในประชาธิปไตย จะออกมาโจมตีต่อว่าพรรคที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือก

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลดลง แต่กลับได้มากขึ้น

หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้หลายสิ่งกลับมามากขึ้น


- ลดความโกรธให้น้อยลง คุณได้สติกลับมามากขึ้น++


- ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณได้เงินเก็บมากขึ้น++


- ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น++


- ลดการพูดให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++


- คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณเข้าใจคนที่รักคุณมากขึ้น++


- รักตัวคุณเองให้น้อยลง คนอื่นรักคุณมากขึ้น++


- พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น++


- แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น++


- ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น++


- นอนให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น++


- คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณยิ้มได้มากขึ้น++


- ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น++


- ดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น++


- เชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น++


- ลดทิฐิให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น++


- กระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น++


- ก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น++


- เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น++


- ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น++


- เป่าลมออกให้น้อยลง คุณสูดลมเข้าได้มากขึ้น++


- คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็นคำตอบมากขึ้น++


.....แล้วคุณลดอะไรไปบ้างแล้ว.....



เรื่องเก็บฝาก ต่อ ๆ กันมา ไม่รู้ใครเขียน

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Jam opening Pai forest home with 「NEW MOON VILLAGE」in PAI

Jam opening Pai forest home with 「NEW MOON VILLAGE」in PAI

เนื่องจาก Pai forest home ติดกับ MOON VILLAGE ถึงเราจะเพิ่งเริ่มสร้าง แต่ระยะเวลาอีกปีกว่า ๆ นั้นนานพอที่เราจะร่วมเปิดตัวไปพร้อมกับเขาได้ เพื่อบรรยากาศจะได้เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการเฉลิมฉลอง งานของเขาเริ่มต้นเดือนธันวาคม แต่เราก็คงทยอยเริ่มไปเรื่อย ๆ
เฮฮาปาร์ตี้ อีกปีน่าจะยังไม่มีไฟฟ้า
น้ำอุ่นน้ำอาบไม่ต้องห่วง ไม่กี่เดือนระบบน้ำก็น่าจะพร้อมรับแขกเบื้องต้นในหนาวนี้ 2011
มีลำรางน้ำจากน้ำตกหัวช้างให้อาบ หรือจะอาบน้ำในลำธารหินที่ใหลมาจาก Hua Chang water fall เช่นกัน
แค้มปิ้ง นอนนับดาว เล่นดนตรี ร้องเพลง รอบกองไฟ ใช้ชีวิตให้ใกลเมือง กลับไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติกันอีกครั้ง
จริง ๆ แล้วเราเริ่มเปิดตัว 2011 ปลายปีนี้แล้ว แต่ที่ร่วมแจมปลายปี 2012 วันนั้นบ้านเราน่าจะสมบูรณ์มากกว่านี้ รับแขกจำนวนมากได้แล้ว

(たましいのかくじっけん)第2弾 in PAI

(おとなのようちえん)

-2012年12月から108日間のギャザリングー

http://amanakuni.net/toron/2012maturi/index.html

more about moonvillage

http://amanakuni.net/toron/new-moonvillage.html

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชีวิตพอเพียง [พระไพศาล วิสาโล ]

คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิทัลสักตัวหนึ่ง หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู้จัก ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร คุณใช้เวลา 2-3 วัน ในการหาร้านที่ขายถูกที่สุดแล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง 25 เปอร์เซ็นต์ คุณตัดสินใจควักเงิน 7,500 บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้านด้วยความปลื้มใจที่ได้ของดีและราคาถูก

แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับคุณ แต่ซื้อได้ถูกกว่า คือจ่ายไปเพียง 5,000 บาทเท่านั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร ? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?

ถ้าคุณยิ้มไม่ออก น่าจะถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ ? แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเอง เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ?

คุณมีกล้องที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้ จึงมีผู้กล่าวว่า การเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ เคยสังเกตหรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของฉัน แฟนของคนอื่นสวย ( หรือหล่อ) กว่าแฟนของฉัน ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของฉัน และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของฉัน ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก แม้จะได้มามากเท่าใด ก็ไม่พอจ่ายเสียที

อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆ เช่น ได้โทรศัพท์มือถือมาฟรี ๆ 1 เครื่อง ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า จากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันที แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม ? ทั้ง ๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น

ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป เราจึงไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใด ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไป แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี มองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยุ่ ความสุขเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันที จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มากมายเพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา

พอใจในสิ่งที่เรามี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยุ่กับตัวนี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น ด้วยเหตุนี้ “ สันโดษ” จึงเป็นสิ่งที่มีความ สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต





สันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร และไม่ได้หมายถึงความ เฉื่อยเนือยไม่กระตือรือร้น แต่คือความพอใจในสิ่งที่เรามีและยินดีในสิ่งที่เราเป็น ไม่ปรารถนา สิ่งที่อยู่ไกลตัวหรือเป็นของคนอื่น ถ้ามีสันโดษก็จะพบกับ ความสุขในปัจจุบันทันที แต่ถ้า ไม่มีสันโดษ ก็ต้องหวังความสุขจากอนาคต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงหรือไม่ แต่จะมาหรือไม่มา ที่แน่ ๆ ก็คือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน



คนที่ไม่รู้จักสันโดษจึง “ขาดทุน” 2 สถาน คือ นอกจากจะไม่มี ความสุข กับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะ สิ่งที่ปรารถนยังมาไม่ถึง จำนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อได้หรือไม่ หมาตัวนี้ได้เนื้อชิ้นใหญ่มา จึงคาบกลับไปที่รัง แต่ขณะที่กำลังเดินข้าม สะพาน มันมองลงไปที่ลำธาร เห็นเงาของมันเอง แต่นึกว่าเป็นหมาอีกตัวหนึ่งกำลังคาบเนื้อ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก มันเกิดอยากได้ขึ้นมาจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ในปาก หวังอิ่มเอมกับเนื้อชิ้นใหญ่กว่า ผลก็คือเมื่อเนื้อหลุดปากตกลงไปในน้ำ ชิ้นเนื้อ ในน้ำก็หายไป มันจึงสูญเสียทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ



คนที่พอใจในสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ แม้สิ่งที่ดีกว่ายังมาไม่ถึง ก็ยังมีความสุข อยู่กับตัว และเมื่อสิ่งที่ดีกว่ามาถึงก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น ผู้ที่รู้จักสันโดษจึงมีความสุขในทุก สถาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะงอมืองอเท้าหรือนั่งเล่นนอนเล่นอยู่เฉย ๆ เขายังมีความ ขยันหมั่นเพียร ปรับปรุงตนเองและงานการให้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ แต่ขณะที่ทำนั้นก็ยังมี ความสุขกับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ โดยไม่หวังความสุข จากสิ่งที่คอยอยู่ข้างหน้า



เมื่อรู้จักพอใจในสิ่งที่มีหรือเป็น เราก็รู้ว่าเมื่อไรควรพอเสียที ในทาง ตรงกันข้ามคนที่ไม่พอใจ ในสิ่งที่มี หรือเป็น ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จริงอยู่ตอนได้มาใหม่ ๆ ก็มีความสุขดีอยู่หรอก แต่ไม่นานความสุขนั้นก็เลือนหายไป ของใหม่นั้นเมื่อกลาย เป็นของเก่า เสน่ห์ดึงดูดใจก็มักจะจางลง ยิ่งชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น เห็นเขามีของดีกว่า สวยกว่า ความรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ก็มากเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องหาใหม่ แต่เมื่อได้มาแล้วก็เข้าสู่ วงจรเดิม จึงไม่แปลกที่บางคน แม้มีรองเท้า 300 คุ่แล้วก็ยังไม่รู้จักพอเสียที ยังอยากได้ คู่ใหม่อยู่อีก มีซีดีเพลงนับพันแผ่นแล้ว ก็ยังอยากได้แผ่นใหม่อยู่อีก ในทำนองเดียวกันเศรษฐี แม้มีเงินหมื่นล้านแล้วก็ยังอยากได้เพิ่มอีกหนึ่งล้าน แน่นอนว่าเมื่อได้มาแล้วก็ยังอยากได้ เรื่อยไป คำถามก็คือแล้วเมื่อไรจึงจะพอเสียที ?



ชีวิตที่ไม่รู้จักพอใจสิ่งที่มีหรือเป็น คือชีวิตที่ต้องวิ่งไม่หยุดเหมือนคนที่วิ่งหนี เงากลางแดด วิ่งเท่าไร ๆ เงาก็ยังวิ่งไล่ตาม ไม่ว่าตะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหน เงาก็ยังตามอยู่ดี มิหนำซ้ำยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย แดดก็ยิ่งเผา ทำอย่างไรดีถึงจะหนีเงาพ้น ? คำตอบก็คือ เข้ามา นั่งนิ่ง ๆ อย่ใต้ร่มไม้ ไม่ต้องวิ่ง เพียงแต่รู้จักหยุดให้เป็นไม่เพียงเงาจะหายไป ยังได้สัมผัสกับ ความสงบเย็น อีกทั้งยังหายเมื่อยล้าด้วย



ชีวิตที่รู้จักพอย่อมมีความสุขกว่าชีวิตที่ดิ้นรนไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มีเวลา สำหรับทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต แทนที่จะ ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน ไล่ล่าหาสินค้ารุ่นใหม่ หรือเอาแต่ เที่ยวช้อปปิ้ง ก็มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ทำงานช่วยเหลือชุมชน ศึกษาหาความรู้ และฝึกฝนพัฒนาจิตใจ คุณภาพชีวิตจะเจริญงอกงามมากขึ้นและมีความสุขมากขึ้นด้วย



ชีวิตที่รู้จักพอนั้นนอกจากจะเกิดขึ้นได้เพราะ มีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่และ เป็นอยู่ ดังได้กล่าวมาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ มากก็คือ การตระหนนักชัดในคุณและโทษ ของวัตถุสิ่งเสพ วัตถุหรือสิ่งเสพรวมไปถึงทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น มีประโยชน์ตรงที่ให้ ความสุขทางกาย ช่วยให้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย และอำนวยให้สามารถทำกิจการงานต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เช่น รถยนต์ช่วยให้เดินทางได้รวดเร็ว เป็นต้น แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีโทษ อยู่ด้วย ประการแรกก้คือภาระในทางจิตใจ เช่น ทำให้เกิดความห่วงกังวลอยู่เสมอว่าจะมีใคร ขโมยไปหรือไม่ และถ้าหายไปก็ยิ่งทุกข์ ประการต่อมาก็คือ ภาระในการดูแลรักษาและป้องกัน บ่อยครั้งยังเป็นภาระในการใช้ด้วย เพราะเมื่อซื้อมา แล้วถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเสียดาย จึงต้องเจียด เวลามาใช้มัน ทำให้มีเวลาว่างเหลือน้อยลง



วัตถุสิ่งเสพนั้นไม่ได้ดึงเงินไปจากกระเป๋าของเราเท่านั้น แต่ยังแย่งชิง เวลาและพลังงานไปจากเรา ยิ่งมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร เวลาและพลังงานสำหรับเรื่องอื่น ก็มีน้อยลง สมบัติบางอย่างนั้นดูเผิน ๆ เหมือนกับทำให้เรามีเวลามากขึ้น เช่น รถยนต์ แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนอาจพบว่ารถยนต์นั้นช่วยประหยัดเวลาให้แก่เราไม่ได้มากอย่างที่นึก เคยมีผู้คำนวณเวลา ทั้งหมดที่ใช้ไปกกับรถยนต์ เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการหาเงินมาซื้อ ซื้อน้ำมัน จ่ายค่าอะไหล่ ค่าซ่อมรถ ค่าประกัน และค่าภาษี รวมทั้งเวลา ที่ใช้ไปกับการ ดูแลรักษา เช่น ล้างรถ นำรถไปตรวจสภาพ นำรถไปซ่อม ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการขับ และหาที่จอด เมื่อเอาเวลาทั้งหมดไป หารกับระยะทางที่เดินทางด้วยรถยนต์ คำตอบที่ได้ก็คือ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หมายความว่า แม้ว่าเราจะขับรถด้วยความเร้ว 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคือ ตัวเลขสุทธิจากการเดินทางด้วยรถยนต์ พูดอีกอย่างคือรถยนต์ไม่ได้ช่วยให้เรา เดินทางเร็วกว่ารถจักรยานสักเท่าไรเลย



เวลาที่สูญเสียไปกับรถยนต์ตลอดจนวัตถุสิ่งเสพทั้งหลายนั้น มีมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่ช่วยประหยัดเวลานั้นบ่อยครั้งก็ไม่ไดช่วย ให้เรามีเวลามากขึ้นเลย ดังเห็นได้ว่ายื่งมีรถยนต์ มากเท่าไร คนก็ยิ่งเสียเวลาอยู่บนรถยนต์มากเท่านั้น และมีเวลาอยู่ในบ้านน้อยลง การพัฒนา ความเร็วของรถยนต์ให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ช่วยให้คนมีเวลาเป็นของตนเองเพิ่มขึ้นเลย กลับมี น้อยลงด้วยซ้ำ น่าแปลกใจไหมว่าคนใน สังคมสมัยใหม่แม้มีอุปกรณ์ประหยัดเวลาอยู่เต็มบ้าน แต่เหตุใดกลับมีเวลาว่างน้อยกว่าคนในชนบทซึ่งไม่มีแม้แต่รถยนต์ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือมาม่า ในขณะที่คนชนบทมีเวลานั่งเล่นอยู่กับลูกหลานและกินข้าวพร้อมหน้ากับทุกคนที่บ้าน แต่คน ในเมืองกลับแทบไม่มีเวลาทำเช่น นั้นเลย



มองให้ถี่ถ้วนแล้ว “ต้นทุน” ที่ต้องจ่ายให้แก่วัตถุสิ่งเสพนั้น ไม่ได้มีแค่เงิน เวลา พลังงาน และภาระทางจิตใจเท่านั้น มันอาจ รวมไปถึงวิถีชีวิตที่พึงปรารถนาด้วย เพราะชีวิตทั้งชีวิต อาจต้องหมดไปกับการทำมาหาเงินเพื่อแสวงหา และรักษาวัตถุสิ่งเสพเหล่านี้ ให้ พร้อมพรั่ง



ความสะดวกสบายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเปล่า ๆ แต่ต้องแลกมาด้วย บางสิ่งบางอย่างที่อาจมีคุณค่า ต่อชีวิตเรา และสิ่งนั้นอาจหมายถึงจุดหมายหรือวิถี ชีวิตที่พึงปรารถนา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ โทรศัพท์มือถือ และ อินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี ทั้งสองช่วยให้เราติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นที่อยู่ไกลได้สะดวกขึ้น แต่ยิ่ง ติดต่อได้สะดวก ก็ยิ่ ชวน ให้ใช้บ่อยขึ้น จนในที่สุด ผู้ใช้กลับไม่มีเวลาที่จะให้กับครอบครัวหรือคนที่บ้าน ความสัมพันธ์ เหินห่างจนหมางเมิน ซึ่งเท่ากับผลักดันให้ไปหมกมุ่นกับเทคโนโลยีมากขึ้น จนเกิดช่องว่าง ในการสื่อสารกับผู้คนโดยเฉพาะคนใกล้ชิด ดังเห็นได้จากหนุ่มสาวจำนวนมากในปัจจุบัน

ความตระหนักถึงโทษหรือภาระที่เกิดจากวัตถุสิ่งเสพ ไม่ว่าจะสะดวกสบายหรือ สนุกสนาน เอร็ดอร่อยเพียงใด ช่วยให้เรามี ความระมัดระวังในการใช้สอยและครอบครอง วัตถุสิ่งเสพทั้งหลาย ไม่สำคัญผิดว่ายิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี มีความใคร่ครวญมากขึ้นว่ามีเท่าไร ถึงจะพอดี บริโภคแค่ไหนถึงจะเป็นคุณมากกว่าโทษ

ความพอใจในสิ่งที่มีอยู่นั้นเป็นเรื่องคุณภาพจิต ส่วนความเข้าใจหรือตระหนักถึง คุณและโทษของวัตถุสิ่งเสพนั้นเป็นเรื่องของ ปัญญา ทั้งคุณภาพจิตและปัญญาดังกล่าว ช่วยให้ชีวิตรู้จักพอ และเกิดความพอดีในการบริโภคและใช้สอย อย่างไรก็ตามบางครั้ง แม้จะรู้ว่า เท่าไรถึงจะพอดี แต่ใจไม่คล้อยตาม ยังติดในความสะดวกสบายหรือ เอร็ดอร่อย ทำให้ไม่รู้จักพอในการบริโภคหรือครอบครอง ในกรณี เช่นนี้สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการกำหนดขอบเขตให้แก่ตนเอง ว่าจะบริโภคเท่าไรในแต่ละวันหรือซื้อได้เท่าไรในแต่ละเดือน เช่น คนที่ติด อินเตอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ ควรกำหนดว่าจะใช้หรือดูอย่างมากที่สุด วันละกี่ชั่วโมง ส่วนคนที่ติดช้อปปิ้งก็อาจกำหนดวินัย ให้ตัวเองว่าจะเข้า ห้างเพียงสัปดาห์ละครั้ง และจะเข้า ก็ต่อเมื่อมีรายการสินค้าอยู่ในมือแล้วเท่านั้น และจะไม่ซื้อสิ่งที่อยู่นอกรายการ ดียิ่งกว่านั้นก็คือ จะงดใช้บัตรเครดิตช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือมีบัตรเครดิตไม่เกิน 2 ใบ เป็นต้น

การมีวินัย ความพอใจในสิ่งที่มี และการมีปัญญาเห็นถึงคุณและโทษ ของสิ่งเสพ คือปัจจัย 3 ประการที่ช่วยให้เกิดทั้งความ รู้จักพอ และความพอดีในการ บริโภคใช้สอย นำพาชีวิตสู่มิติใหม่ที่เป็นนายเหนือวัตถุ เพราะสามารถรู้จักใช้ให้เป็น เครื่องมือสร้างความเจริญงอกงามแก่ชีวิตได้ โดยไม่ต้องตกเป็นทาสของมันดังแต่ก่อน

ชีวิตพอเพียงกับชีวิตที่เป็นอิสระจึงมิอาจแยกจากกันได้

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีสร้างบุญบารมี

บุญ คือเครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ กุศลธรรม
บารมี คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงสุด
วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า “ทาน ศีล ภาวนา” ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้นเป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด
ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด
๑. การทำทาน
ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการต่อไปนี้
องค์ประกอบข้อ ๑ “วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์”
ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ เป็นต้น
องค์ประกอบข้อ ๒ “เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์”
เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตนอันเป็นกิเลสหยาบ คือ
“โลภ กิเลส” และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วย
เจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ ๓ ระยะ
(๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน
(๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน มีจิตโสมนัสยินดีและเบิกบาน
(๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตใจโสมนัสร่างเริงเบิกบาน ยินดีในทานนั้น ๆ
องค์ประกอบข้อ ๓ “เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์”
เป็นองค์ประกอบข้อที่สำคัญที่สุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดีจะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ
ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน ได้บุญน้อยกว่า
การให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย ยังได้บุญน้อยกว่า
การให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ ยังได้บุญน้อยกว่า
การให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ผู้มีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระโสดาบัน ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระสกิทาคามี ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระอนาคามี ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระอรหันต์ ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายทานแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังได้บุญน้อยกว่า
การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายวิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทาง อันเป็นสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันเช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากให้ทำนองเดียวกัน
การถวายวิหารทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ “ธรรมทาน” แม้เพียงครั้งเดียว การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ให้ได้เข้าใจในมรรค ผล นิพพานให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ
การให้ธรรมทานมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ “อภัยทาน”
คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน
เพื่อละ “โทสกิเสส” และเป็นการเจริญ “เมตตาพรหมวิหารธรรม”



๒. การรักษาศีล

ศีลคือสิ่งหรือกติกาที่บุคคลจะต้องระวังรักษาตามเพศและฐานะ เช่น เป็นฆราวาส ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และพระภิกษุสงฆ์ศีล ๒๒๗

การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา การบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน การถือศีลได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้คือ
๑. การให้อภัยทานมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ แม้เพียงครั้งเดียว
๒. การถือศีล ๕ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๘ เพียงครั้งเดียว
๓. การถือศีล ๘ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๑๐ คือการบวชเป็นสามเณร แม้จะบวชมาเพียงวันเดียวก็ตาม
๔. การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์ สังวร ๒๒๗ เพียงวันเดียวก็ตาม
ฉะนั้นในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมมบารมีในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป

๓. การภาวนา
เป็นการสร้างบุญบารมีที่ สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่าง คือ (๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ) และ (๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) แยกอธิบายดังนี้ คือ
(๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
ได้แก่ การทำจิตใจให้เป็นสมาธิ หรือเป็นฌาน คือการทำจิตให้มั่นคงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปยังอารมณ์อื่น ๆ วิธีภาวนานั้น มีมากมายหลายร้อยชนิด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติแบบอย่างเอาไว้ ๔๐ ประการ เรียกกันว่า “กรรมฐาน ๔๐” ซึ่งผู้ใดจะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามแต่สมัครใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามเพศของตนเสียก่อน จึงจะสามารถทำจิตให้เป็นฌานได้ หากศีลยังไม่มั่นคง ย่อมเจริญญานให้เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐาน (เป็นกำลัง) ให้เกิดสมาธิขึ้น อานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “แม้ จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือ ปีก ช้างกระดิกหู” คำว่า “จิตสงบ” ในที่นี้หมายถึงจิตที่เป็นอารมณ์เดียวเพียงชั่ววูบ ที่พระท่านเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” คือสมาธิเล็ก ๆ น้อย ๆ สมาธิแบบเด็ก ๆ ที่เพิ่งหัดตั้งไข่ คือหัดยืนแล้วก็ล้มลง แล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่
การทำสมาธิเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุด เพราะไม่ได้เสียเงินเสียทอง ไม่ได้เหนื่อยยากต้องแบกหามแต่อย่างใด เพียงแต่คอยเพียงระวังรักษาสติ คุ้มครองจิตมิให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่น ๆ โดยให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น การทำทานเสียอีกยังต้องเสียเงินทอง การสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาโรงธรรมยังต้องเสียทรัพย์ และบางทีก็ต้องเข้าช่วยแบกหามเหนื่อยกาย แต่ก็ได้บุญน้อยกว่าการทำสมาธิอย่างที่เทียบกันไม่ได้
อย่างไรก็ดี การเจริญสมถภาวนาหรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา การเจริญวิปัสสนา (การเจริญปัญญา) จึงจะเป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้

(๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา)
วิปัสสนา ไม่ใช่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่เป็นจิตที่คิดและใคร่ครวญหาเหตุและผลในสภาวธรรมทั้งหลายและสิ่งที่เป็น อารมณ์ของวิปัสสนานั้น มีแต่เพียงอย่างเดียวคือ “ขันธ์ ๕” ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “รูป-นาม” โดยรูปมี ๑ ส่วน นามนั้น มี ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขันธ์ ๕ ดังกล่าวเป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เพราะแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง แต่เพราะอวิชชา คือความไม่รู้เท่าสภาวธรรม จึงทำให้เกิดความยึดมั่นด้วยอำนาจอุปาทานว่าเป็นตัวตนและของตน การเจริญวิปัสสนาก็โดยมีจิตพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงว่า อันสภาวธรรมทั้งหลายอันได้แก่ขันธ์ ๕ นั้นล้วนแต่มีอาการเป็นพระไตรลักษณ์ คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา โดย
(๑) อนิจจัง คือความไม่เที่ยง คือสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สมบัติ เพชร หิน ดิน ทราย และรูปกายของเรา ล้วนแต่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพียงแต่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
(๒) ทุกขัง ได้แก่ “สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้” ทุกขัง ในที่นี้มิได้หมายความแต่เพียงว่าเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น แต่การทุกข์กายทุกข์ใจก็เป็นลักษณะส่วนหนึ่งของทุกขังในที่นี้ สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นสังขารธรรมเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจที่จะทนตั้งมั่นอยู่ในสภาพนั้น ๆ ได้ตลอดไป ไม่อาจจะทรงตัว และต้องเปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนุ่มและสาวแล้วก็เฒ่าแก่ จนในที่สุดก็ต้องตายไป
(๓) อนัตตา ได้แก่ “ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งของ” โดยสรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากปรับปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็น “รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ” ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่นรูปขันธ์ย่อมประกอบขึ้นด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มาประชุมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นหน่วยชีวิตเล็ก ๆ ขึ้นก่อน เรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า “เซลล์” จนเป็นรูปกายของคนและสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระท่านรวมเรียกหยาบ ๆ ว่าเป็นธาตุ ๔ เช่น ความร้อน ความเย็น เรียกว่า ธาตุไฟ ส่วนธรรมชาติที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว ความตั้งมั่น ความเคร่ง ความตึงและบรรดาสิ่งเคลื่อนไหวไปมาในร่างกายเรียกว่า ธาตุลม
สมาธิย่อมมีกรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ ส่วนวิปัสสนานั้นมีแต่เพียงอย่างเดียว คือมี ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เรียกสั้น ๆ ว่า มีแต่รูปกับนามเท่านั้น ขันธ์ ๕ นั้นได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ฉะนั้น การที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามทำสมาธิให้ได้เสียก่อน ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดแม้จะทำสมาธิจนจิตเป็นฌานได้นานถึง ๑๐๐ ปี และไม่เสื่อม ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม”


โดย
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(คัดลอกส่วนสำคัญจากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน)